“ใครกรนต้องรู้! มจธ. พัฒนา ‘หมอนรองคออัจฉริยะ’ สั่นเตือนก่อนคุณหยุดหายใจ”

“การกรน” เป็นสัญญาณของภัยเงียบที่ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิด เพราะคือเสียงเตือนของ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ที่กำลังเป็นปัญหาด้านสุขภาพของคนทั่วโลก โดยเฉพาะเพศชาย อายุ 30 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจแคบ ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะด้านการนอนเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง และอุบัติเหตุจากการหลับใน ในประเทศไทยเอง งานวิจัยของ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประชากรไทยมากถึง 10–30% มีอาการนอนกรนในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานหรือแม้แต่วัยรุ่นที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดภาวะหยุดหายใจซ้ำซ้อนตลอดคืน โดยในกรณีที่รุนแรงอาจเกิดภาวะ “หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน” และเสียชีวิตได้

จากปัญหาเรื้อรังและการขาดเครื่องมือป้องกันที่ดี ดร.ปฏิยุทธ พรามแก้ว อาจารย์จากโครงการร่วมบริหารหลักสูตรมีเดียอาตส์และเทคโนโลยีมีเดีย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และทีมวิจัย ได้ทำวิจัยเรื่อง “การออกแบบและพัฒนาหมอนรองคอต้นแบบในการตรวจจับเสียงกรนด้วยเทคนิคสมองกลฝังตัว สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาการนอนกรน” ขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้

“สิ่งที่พวกเราทำคือการพัฒนานวัตกรรม ‘หมอนอัจฉริยะ’ เพื่อตรวจจับเสียงกรนและป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับในผู้ใช้ ผ่านเทคนิคสมองกลฝังตัว (Embedded System) ที่สามารถวิเคราะห์และจำแนกคลื่นเสียงได้อย่างแม่นยำ โดยระบบใช้อัลกอริทึมประมวลผลสัญญาณเสียงขั้นสูง ผสมผสานระหว่าง Digital Signal Processing (DSP) เช่น การวิเคราะห์สเปกตรัมความถี่ (FFT) และการกรองสัญญาณ (Filtering) ร่วมกับ Machine Learning Models ที่ผ่านการฝึกจากฐานข้อมูลเสียงจริง เพื่อคัดแยกเสียงกรนออกจากเสียงพูดหรือเสียงรบกวนอื่น ๆ ได้อย่างแม่นยำ

ด้วยเซนเซอร์ไมโครโฟนที่ตรวจจับเสียงและส่งข้อมูลเข้าสู่หน่วยประมวลผลแบบเรียลไทม์ ระบบจะวิเคราะห์คุณลักษณะของเสียง (Acoustic Features) เช่น ความถี่หลัก (Fundamental Frequency), ความเข้มเสียง (Amplitude), และรูปแบบคลื่น (Waveform Pattern) เพื่อจำแนกประเภทเสียงอย่างถูกต้อง เมื่อระบบตรวจพบเสียงกรนในระดับที่มีความเสี่ยง หมอนจะสั่งการให้มอเตอร์ขนาดเล็กสั่นเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนท่าทางการนอนหรือรู้สึกตัวเล็กน้อยโดยไม่ตื่นเต็มที่ เป็นการหยุดวงจรของภาวะหยุดหายใจก่อนจะรุนแรงจนเป็นอันตราย

นอกจากนี้ ระบบทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันที่บันทึกและแสดงสถิติการนอน ระดับความถี่ของการกรน และจำนวนครั้งที่มีการแจ้งเตือน เพื่อให้ผู้ใช้งานและบุคลากรทางการแพทย์นำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ปฏิยุทธ ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวถึงกลไกการทำงานของนวัตกรรมนี้

ดร.ปฏิยุทธ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมนี้เกิดขึ้นในห้องเรียนเมื่อ 5 ปีก่อนที่สอนเรื่อง IoT หรืออินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things กับการออกแบบผลิตภัณฑ์แบบฝังตัว นักศึกษาเริ่มตั้งคำถามว่า เราจะใช้องค์ความรู้ที่เรียนไปช่วยเหลือใครได้บ้าง? จึงเกิดเป็นหมอนเวอร์ชันแรกที่เป็นหมอนหนุนธรรมดาฝังเซ็นเซอร์ตรวจจับเสียงกรน พร้อมแอปพลิเคชันบันทึกข้อมูลการนอน แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อหมอนใบนั้นถูกนำไปจัดแสดงผลงานในนิทรรศการที่คณะจัดขึ้น แล้วมีผู้ชมงานคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยแล้วถามว่า อุปกรณ์นี้สามารถช่วยผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจระหว่างการเดินทางไกลได้หรือไม่?

“สิ่งนี้คือจุดพลิกผันของนวัตกรรมนี้ เพราะคนที่เข้ามาคุยวันนั้นคือคุณหมอจากโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียนที่เห็นว่าหมอนของเราจะมีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วย ถ้ามันสามารถใช้งานขณะเดินทางได้ด้วย จากหมอนหนุนธรรมดาจึงกลายเป็น ‘หมอนรองคออัจฉริยะ’ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสวมใส่ระหว่างเดินทาง เช่น บนเครื่องบิน รถทัวร์ หรือแม้แต่นอนที่บ้าน โดยสามารถตรวจจับเสียงกรนจากผู้ใช้แบบเรียลไทม์”

โครงการวิจัยนี้ได้รับรางวัลจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในงานประกวดผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีนักวิจัยร่วมในทีม ได้แก่ ผศ.ดร.ฐิตาภรณ์ กนกรัตน รศ.ดร.มหศักดิ์ เกตุฉ่ำ ผศ.ดร.นฤมล ชูเมือง ดร.วรวุทธิ์ ยิ้มแย้ม และ ศ. ดร.ปณิตา วรรณพิรุณ นอกจากนี้หมอนรองคออัจฉริยะเมื่อนำไปจัดแสดงในเวทีระดับนานาชาติ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมจากหลากหลายประเทศ โดยมีผู้สนใจสั่งซื้อและให้ราคาสูงถึง 20,000 บาท แม้จะยังอยู่ในสถานะต้นแบบก็ตาม

ในระยะต่อไป ทีมวิจัยมีแผนจะต่อยอดนวัตกรรมนี้ คือ การผลิตในเชิงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน โดยมุ่งให้ราคาขายไม่เกิน 2,000–3,000 บาท เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ การนำไปใช้ในระบบสาธารณสุข ทั้งในโรงพยาบาล สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงแรม และการพัฒนาเพิ่มเติมในเชิงเทคนิคและกฎหมาย เช่น การยื่นจดสิทธิบัตรทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถแสดงผลการนอนอย่างละเอียดมากขึ้น ทั้งสถิติการหลับลึก ระยะเวลาหยุดหายใจ และประวัติการใช้งาน เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการวินิจฉัยทางการแพทย์

ดร.ปฏิยุทธ กล่าวว่า เป้าหมายของทีมวิจัยไม่ใช่แค่การพัฒนานวัตกรรมให้สำเร็จในเชิงเทคนิค แต่คือการสร้างเครื่องมือที่ “เปลี่ยนชีวิตคนได้จริง” ด้วยต้นทุนที่คนทั่วไปจับต้องได้ เพราะเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้องตอบโจทย์ปัญหาของผู้คนให้ได้จริง ๆ

สำหรับผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการร่วมสนับสนุนงานวิจัยหรือการต่อยอดผลิตภัณฑ์

ที่มา: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี