กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยเทรนด์สิทธิบัตร “เทคโนโลยีท่องเที่ยว” ชี้ไทยโตพุ่ง 145%

แนะใช้ทุนทางวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ มาผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ดันไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมท่องเที่ยวของอาเซียน

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยบทวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวจากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ระหว่างปี 2549 – 2568 พบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ โดยมีแนวโน้มปรับตัวสู่ยุคการใช้เทคโนโลยีเต็มรูปแบบ สะท้อนโอกาสอย่างมหาศาลในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวภายในประเทศ ชี้นวัตกรรมท่องเที่ยวของไทยเติบโตสูงถึง 145% ต่อปี เป็นสัญญาณชัดเจนถึงศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็นผู้เล่นแถวหน้าในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของไทย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรมอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวคือหนึ่งในเครื่องจักรหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้คิดเป็น 10 – 15% ของ GDP และยังเป็นภาพจำสำคัญที่สะท้อนเอกลักษณ์ของประเทศ จากการศึกษาข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลกในระยะ 20 ปี พบว่า ในปี 2549 สิทธิบัตรนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวยังมีจำนวนไม่มาก แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้เปลี่ยนภาพนี้ไปอย่างสิ้นเชิง จำนวนสิทธิบัตรเพิ่มจาก 795 ฉบับ เป็นกว่า 3,000 ฉบับในระยะเวลาเพียง 10 ปี สะท้อนว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่อาจพึ่งพาเสน่ห์ของจุดหมายปลายทางได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าและออกแบบประสบการณ์ของนักเดินทางตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นการจองที่พัก การวางแผนท่องเที่ยว การตัดสินใจเลือกกิจกรรม ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงลึกในพื้นที่จริง

โดยที่ผ่านมา ประเทศที่ถือครองสิทธิบัตรนวัตกรรมท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่ จีน ครองอันดับหนึ่งด้วยสิทธิบัตรกว่า 2,000 ฉบับ โดยเฉพาะในระยะ 10 ปีหลัง มีการเติบโตกว่า 144% ต่อปี ซึ่งจีนมุ่งลงทุนเชิงรุกในเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกา และยุโรปตะวันตก ซึ่งมีสิทธิบัตรจำนวนมาก ครอบคลุมเทคโนโลยีที่หลากหลาย แต่การเติบโตเริ่มชะลอตัว สะท้อนภาวะตลาดที่ค่อนข้างอิ่มตัว ขณะที่ประเทศที่น่าจับตามองและมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในตลาดนี้ ได้แก่ อินเดีย มีการเติบโตแรงที่สุดในโลก กว่า 292% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากสตาร์ทอัพแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทาง และนโยบายความยั่งยืน รวมทั้งไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มาแรง แม้จะมีจำนวนสิทธิบัตรไม่มาก แต่มีการเติบโตสูงกว่า 145% ต่อปี โดยมีจุดแข็งอยู่ที่เทคโนโลยีการบริการและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดนวัตกรรมท่องเที่ยวกำลังอยู่ในระยะเติบโต และมีแนวโน้มที่จะโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเปิดช่องให้ผู้เล่นหน้าใหม่มีโอกาสสอดแทรกเข้ามาร่วมในตลาดนี้ได้ อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปที่ผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมหลักก็พบว่ามีผู้เล่นที่หลากหลาย โดยผู้ถือครองสิทธิบัตรไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ขยายวงกว้างไปถึงบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศด้านอิเล็กทรอนิกส์ ค่ายยานยนต์ รวมถึงบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัย สะท้อนให้เห็นว่าการท่องเที่ยวกลายเป็นตลาดที่ดึงดูดผู้เล่นจากหลากหลายอุตสาหกรรมให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยว่า ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกได้ก้าวสู่ “ยุคใหม่ของนวัตกรรม” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเมื่อเจาะลึกในรายละเอียด จะพบแนวโน้มเทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่มุ่งขับเคลื่อนไปใน 3 ทิศทางสำคัญ ได้แก่

1) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Virtual Reality in Tourism) ถูกใช้เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของแหล่งท่องเที่ยว ผ่านภาพ เสียง และบรรยากาศที่จำลองขึ้น ก่อนนักท่องเที่ยวจะออกเดินทางจริง โดย VR ไม่ได้มาแทนที่การท่องเที่ยว แต่เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เทคโนโลยี VR เคยพัฒนาจนถึงจุดชะลอตัว แต่ในช่วง 5 ปีหลังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งจากกระแส Metaverse Economy โดยผู้เล่นในสนามนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น LG Electronics (110 ฉบับ) บริษัทเกม LNw Gaming (138 ฉบับ) ไปจนถึงนักประดิษฐ์อิสระ รวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 400 ฉบับต่อปี สะท้อนว่า VR ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่มีเจ้าตลาดที่ผูกขาดเบ็ดเสร็จ และยังมีโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่มีศักยภาพ

2) เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism Technology) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น ระบบโรงแรมอัจฉริยะ (Smart Hotels) ที่ใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเดินทางด้วยยานพาหนะประหยัดพลังงานหรือไฟฟ้า (Green Transport) แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การใช้ข้อมูลเพื่อจัดการและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับอุตสาหกรรม (Data Systems) เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและถูกนำไปใช้ในวงกว้าง จากกระแสรักษ์โลกในช่วงหลายปีหลังทำให้มีผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่าตลาดนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (445 ฉบับ) ในบทบาทของผู้พัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกที่เน้นงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ Digimarc Corp (361 ฉบับ) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการจดจำข้อมูล และ American Vehicular Sciences LLC (250 ฉบับ) ผู้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ เชื่อมโยงกับ Smart Transport & Carbon Tracking ในภาคการท่องเที่ยว โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 600 ฉบับต่อปี

3) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Artificial Intelligence in Tourism) AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยวได้จริง โดยเทคโนโลยีสามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อแนะนำแผนการเดินทาง ที่พัก กิจกรรมที่ตรงใจ และระบบนำเที่ยว พร้อมทั้งสนับสนุนการบริการผ่าน chatbot หรือผู้ช่วยเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในระยะเติบโตอย่างเต็มตัว จำนวนคำขอสิทธิบัตรจากไม่ถึง 1,000 ฉบับในปี 2559 พุ่งไปเกือบ 3,000 ฉบับในปี 2565 และผู้ที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรไม่ใช่เพียงแต่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีความหลากหลายจำนวนมาก ทั้งสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดกลางที่เข้ามาสู่ตลาดนี้ ส่งผลให้เทคโนโลยี AI ในการท่องเที่ยวกลายเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีพลวัตรสูงที่สุด และพร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะยาว สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำ ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (694 ฉบับ) และ Toyota Jidosha kk (504 ฉบับ) โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 2,700 ฉบับต่อปี

จากบทวิเคราะห์เทรนด์สิทธิบัตรด้านการท่องเที่ยว ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของ Smart Tourism ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะถูกขับเคลื่อนโดยประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย สำหรับโอกาสและทิศทางของไทย กรมฯ มองว่าโอกาสยังเปิดกว้างในตลาดนี้ โดยไทยควรเร่งสร้างสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft IBM Toyota ซึ่งมีสำนักงานในไทย ให้ร่วมทำ R&D และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ทั้งนี้ หากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสามารถเดินหน้าด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการใช้จุดแข็งของทรัพยากรท้องถิ่น วัฒนธรรม ชุมชน และ Soft Power เช่น อาหาร มวยไทย เป็นต้น มาผสานเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมยกระดับการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยที่ไม่ซ้ำใครและยากที่ประเทศอื่นจะลอกเลียนแบบได้ เปิดโอกาสให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และผลักดันให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของตลาดการท่องเที่ยวเชิงนวัตกรรมระดับโลกได้ในอนาคต

สำหรับสถิติคำขอสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไทย ในช่วง 5 ปีล่าสุด (2563 – 2568) มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 423 คำขอ (ต่างชาติ 386 คำขอ และไทย 37 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 63 คำขอ (ต่างชาติ 3 คำขอ และไทย 60 คำขอ) ด้านสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 14 ฉบับ (เป็นของต่างชาติทั้งหมด) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 32 ฉบับ (ต่างชาติ 2 ฉบับ และไทย 30 ฉบับ) ผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท คูแปง คอร์ป (34 คำขอ) บริษัท ฮิตาชิ แอลทีดี (33 คำขอ) และบริษัทโตโยต้า จิโดชา คาบูชิกิ ไคชา (31 คำขอ) โดยนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การประมวลผลข้อมูลเพื่อจัดการธุรกิจ (ระบบตัวแทนจัดการการดำเนินงานสำหรับจองที่พักของโรงแรม ระบบวางแผนและจัดตารางเวลาของการจองที่พัก) การประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงิน (วิธีการและระบบสำหรับการชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ กระบวนการบริหารจัดการธุรกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของบล็อกเชน ระบบและวิธีการสำหรับการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ด) การบริหารโครงการ (ระบบระบุตัวตนชื่อนามสกุลภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบอัตโนมัติด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ)

ที่มา: กรมทรัพย์สินทางปัญญา