ไทย–เกาหลี เตรียมลงนามข้อตกลง CEPA ความตกลงด้านการตรวจสอบและสุขอนามัยจะเปิดประตูใหม่สู่อุตสาหกรรมอาหารรสเลิศของไทย

ประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาเพื่อลงนาม “ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม (Comprehensive Economic Partnership Agreement – CEPA)” ซึ่งครอบคลุมด้านการค้า การบริการ การลงทุน และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยคาดว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในยุคใหม่

ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า CEPA จะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–เกาหลี แต่เพื่อให้การค้าผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จำเป็นต้องมีการลงนามใน “ข้อตกลงด้านสุขอนามัยและการตรวจสอบสินค้าปศุสัตว์ (Sanitary and Phytosanitary Agreement – SPS)” อย่างเร่งด่วน หากข้อตกลงดังกล่าวได้รับการบังคับใช้ จะเปิดทางให้การค้าด้านเกษตรและปศุสัตว์ระหว่างสองประเทศดำเนินไปได้อย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ เนื้อวัวพรีเมียมจากเกาหลีหรือ “ฮันอู (Hanwoo)” จะสามารถเข้าสู่ตลาดไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันตลาดเนื้อระดับพรีเมียมของไทยถูกครอบครองโดยเนื้อวากิวจากญี่ปุ่น หากมีการนำเข้าฮันอู จะช่วยเพิ่มการแข่งขันในตลาด ลดการผูกขาด และเปิดทางให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเนื้อคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น

ข้อมูลจากปี 2023 ระบุว่า ไทยนำเข้าเนื้อวัวปริมาณ 49,253 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 223.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 30.5 พันล้านบาท) โดยเนื้อจากออสเตรเลียครองสัดส่วนประมาณ 70% ของการนำเข้าทั้งหมด ส่วนเนื้อจากสหรัฐฯ มีสัดส่วนต่ำกว่า 3% ขณะเดียวกัน ตลาดเนื้อสัตว์โดยรวมของไทยมีมูลค่าประมาณ 168.3 พันล้านบาท (ราว 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 2% ต่อปีระหว่างปี 2023–2028ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการบริโภคเนื้อคุณภาพสูงในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการใช้วัตถุดิบเหล่านี้เพื่อการ แปรรูป (Re-processing) ภายในประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เช่น เมนูสเต๊กฟิวชั่นไทย–เกาหลี หรือเมนูบูลโกกิซอสไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจร้านอาหารและยกระดับภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมอาหารไทย

ตามรายงานของ Mordor Intelligence ระบุว่า ตลาดบริการอาหารและเครื่องดื่มของไทยในปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 32.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.17 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะขยายตัวสู่ 51.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 การนำเข้าวัตถุดิบระดับพรีเมียมจากต่างประเทศ เช่น ฮันอู จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการเติบโตดังกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนมองว่า การลงนามในข้อตกลง SPS อย่างทันท่วงทีจะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมแก่ประเทศไทย ทำให้ไทยสามารถพัฒนา “ห่วงโซ่มูลค่าอาหารพรีเมียม (Premium Food Value Chain)” ที่เชื่อมโยงตั้งแต่การนำเข้า การผลิต การจัดจำหน่าย ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ซึ่งจะช่วยสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

เมืองท่องเที่ยวหลักของไทย เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ เป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในฐานะเมืองแห่งอาหาร หากมีการผสานวัตถุดิบระดับพรีเมียมจากนานาชาติเข้ากับฝีมือเชฟไทย ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางอาหารระดับโลก (Global Food Hub)” ได้อย่างแท้จริง อาหารที่เกิดจากการผสมผสานวัตถุดิบจากเกาหลีกับศิลปะการปรุงของเชฟไทยจะไม่เพียงเป็นเมนูใหม่เท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็น “เอกลักษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวไทย” ที่ดึงดูดนักชิมจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากการเจรจาข้อตกลงด้านการตรวจสอบล่าช้า แม้ภาษีจะลดลง แต่หากไม่มีการรับรองด้านสุขอนามัย การค้าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ในทางกลับกัน หากมีการลงนามโดยเร็ว จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารระดับพรีเมียมแบบครบวงจร ครอบคลุมการนำเข้า การผลิต การแปรรูป และการท่องเที่ยวได้อย่างสมบูรณ์

ข้อตกลง CEPA ไทย–เกาหลี ถือเป็นก้าวแรกของยุคใหม่แห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศและกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูบานต่อไป คือ “การลงนามข้อตกลงด้านสุขอนามัยและการตรวจสอบสินค้าปศุสัตว์อย่างรวดเร็ว”หากการเจรจาประสบผลสำเร็จ ไทยจะไม่ใช่เพียงประเทศผู้นำเข้าวัตถุดิบคุณภาพสูงเท่านั้น แต่จะกลายเป็น “ดินแดนแห่งรสชาติ” (The Land of Gastronomy) ที่นักชิมทั่วโลกต้องมาเยือนด้วยตนเอง

ที่มา: Asia Economic Insight Center