GIT เดินเกมรุกปี 2569 วาง “ธรรมาภิบาล” เป็นแกนหลัก ดันอัญมณีไทยสู่เวทีโลก จับมือ SMEs ปรับตัวสู่ความยั่งยืนและความโปร่งใสตามมาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) เร่งเครื่องแผนงานปี 2569 ขานรับทิศทางการค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล ความยั่งยืน และมาตรฐานสากล พร้อมประกาศเดินหน้าขยายผล “GIT Standard” เครื่องมือยกระดับอุตสาหกรรมไทย โดยมุ่งสร้างฐานความรู้ให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs เตรียมพร้อมรับกฎเหล็กของตลาดส่งออก

อุตสาหกรรมอัญมณีไทยโตแรง ครึ่งปีแรกแตะ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์

จากข้อมูลของ GIT ระบุว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การส่งออกมีมูลค่าสูงถึง 14,023.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมทองคำ) และ 7,408.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมทองคำ) เพิ่มขึ้นกว่า 62.74% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนศักยภาพของไทยในฐานะหนึ่งในผู้เล่นหลักของตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ในบริบทการค้าโลกยุคใหม่ ตัวแปรที่สำคัญไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่คือ “คุณภาพ มาตรฐาน และความรับผิดชอบ” โดยผู้ซื้อทั่วโลกให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ความยั่งยืนของกระบวนการผลิต และจริยธรรมในห่วงโซ่อุปทาน GIT เล็งเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของอุตสาหกรรมไทย ด้วยการเสริมสร้างองค์ความรู้และระบบมาตรฐานที่สอดคล้องกับเกณฑ์สากล

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน GIT เผยวิสัยทัศน์ว่า “อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในปัจจุบันไม่ได้วัดกันที่ความสวยงามหรือฝีมือเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีองค์ความรู้ ความเข้าใจในมาตรฐานสากล และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แผนปี 2569 ของ GIT จึงมุ่งวางรากฐานผ่านโครงการ “GIT Standard” ที่ครอบคลุมมาตรฐานสินค้า ธรรมาภิบาล และความยั่งยืน โดย GIT ให้การส่งเสริมและสนับสนุน และยังขับเคลื่อนเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้พร้อมแข่งขันในตลาดโลกอย่างมั่นคง”

4 แกนยุทธศาสตร์ “GIT Standard” ยกระดับไทยสู่เวทีโลก

GIT วางแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมผ่าน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ ภายใต้กรอบ “GIT Standard” เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

  • เชื่อมโยงสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐาน Responsible Jewellery Council (RJC) ผ่านโครงการบ่มเพาะสู่มาตรฐาน RJC (RJC Incubation Project) ซึ่งเป็นการให้ความรู้เชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของ Responsible Jewellery Council ที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกให้การยอมรับ ครอบคลุมทั้งด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม จริยธรรมทางธุรกิจและการตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
  • สร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน โดยจัดการอบรมมาตรฐาน GIT Due Diligence Standard เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการในการตรวจสอบย้อนกลับ (Audit) วิเคราะห์ความเสี่ยง และยืนยันแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและความโปร่งใสที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสินค้าในสายตาผู้บริโภคและคู่ค้า
  • พัฒนาทักษะบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดย GIT เดินหน้าขยายความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาและวิทยาลัยอาชีวศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง อาทิ การเจียระไน การออกแบบเครื่องประดับ เทคโนโลยีวัสดุ องค์ความรู้ด้านมาตรฐานและธรรมาภิบาล โดยมีเป้าหมายทั้งการผลักดันแรงงานใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมอย่างมีศักยภาพ และการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เติบโต
    บนพื้นฐานของความรับผิดชอบและจริยธรรมทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการรองรับโอกาสจากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศมายังไทย
  • เตรียมความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อมและ Carbon footprint โดย GIT ส่งเสริมนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยให้คำปรึกษาการประเมินและลด Carbon footprint แก่ผู้ประกอบการ เพื่อเตรียมความพร้อมต่อมาตรการการค้าระดับโลกที่เข้มข้นมากขึ้นในอนาคต อาทิ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) จากสหภาพยุโรป

อนาคตของอุตสาหกรรมที่โปร่งใส ยั่งยืน และแข่งขันได้

GIT มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการวางรากฐาน
องค์ความรู้ ส่งเสริมธรรมาภิบาลและสนับสนุนการใช้มาตรฐานสากลเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อกับตลาดโลก โดยเฉพาะในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเริ่มใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสเป็นเงื่อนไขสำคัญ GIT พร้อมทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำเชิงนโยบาย และพันธมิตรของภาคธุรกิจ เดินเคียงข้างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs เพื่อให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในระยะยาว

“มาตรฐานไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสในการเพิ่มมูลค่าและสร้างจุดขายที่แตกต่างให้กับอุตสาหกรรมอัญมณีไทยให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้งด้านฝีมือและวัฒนธรรม หากสามารถยกระดับระบบภายในและสื่อสารคุณค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นเครื่องมือในการเสริมศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดย GIT จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และเพื่อนคู่คิด เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานกว่า 1 ล้านคน ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงในเวทีโลก” นายสุเมธ กล่าวสรุป

ที่มา: บีโอดับเบิลยู