ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “กล้อง 360 องศา” กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในวงการถ่ายภาพและคอนเทนต์ เพราะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บภาพได้ครบทุกทิศทางในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านหลัง ซ้าย หรือขวา โดยไม่ต้องหมุนกล้องหรือเปลี่ยนมุมเหมือนในอดีต เพียงคลิกเดียวก็สามารถเก็บเหตุการณ์ได้ทั้งรอบตัว เสมือนผู้ชมได้เข้าไปอยู่ในสถานที่จริง การมาของกล้อง 360 ได้เปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องของนักท่องเที่ยว ครีเอเตอร์ และสายลุยไปโดยสิ้นเชิง

ตลาดนี้เคยถูกจุดประกายโดย GoPro Max รุ่นแรก ซึ่งเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อนและสร้างมาตรฐานให้กับคำว่ากล้องแอคชั่นรอบทิศทาง แต่หลังจากนั้นการแข่งขันเริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อแบรนด์ดาวรุ่งอย่าง Insta360 เดินเกมเร็วด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องคุณภาพภาพ ระบบกันสั่น และซอฟต์แวร์รีเฟรมที่ใช้งานง่ายบนสมาร์ตโฟน จนหลายคนยกให้เป็นผู้นำในตลาดกล้อง 360 ยุคใหม่ ขณะเดียวกัน DJI ผู้เชี่ยวชาญด้านโดรนและกล้องวิดีโอก็มองเห็นโอกาสในตลาดนี้ และเปิดตัวกล้อง DJI Osmo 360 ที่จัดเต็มทั้งเซนเซอร์ขนาดใหญ่ ภาพคมชัด และระบบสีแบบมืออาชีพ ทำให้ตลาดกล้อง 360 กลับมาร้อนแรงอีกครั้งอย่างเต็มตัว
ที่น่าสนใจคือ GoPro ก็กลับเข้าสู่สนามอีกครั้งด้วยการเปิดตัว GoPro Max 2 ในจังหวะที่กระแสกล้อง 360 กำลังพุ่งสูงสุด ทั้งในกลุ่มนักเดินทาง ครีเอเตอร์ และสายกีฬา ทำให้ปีนี้กลายเป็นศึกกล้อง 360 ที่น่าจับตามองที่สุดในรอบหลายปี โดยสามรุ่นเด่นที่กำลังถูกพูดถึงมากที่สุดในตลาดคือ Insta360 X5, DJI Osmo 360 และ GoPro Max 2

Insta360 X5
เริ่มกันที่ Insta360 X5 กล้องที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นการอัปเกรดครั้งสำคัญที่สุดของแบรนด์ และเป็นหนึ่งในกล้อง 360 ที่ครบเครื่องที่สุดในเวลานี้ จุดเด่นอยู่ที่ความละเอียดวิดีโอระดับ 8K ที่ให้ภาพคมชัดอย่างเหลือเชื่อ และยังสามารถถ่ายแบบ 5.7K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที หรือ 4K ที่สูงถึง 120 เฟรมต่อวินาทีสำหรับงาน slow-motion ได้อย่างลื่นไหล เซนเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้นช่วยให้การเก็บรายละเอียดในที่แสงน้อยดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนมาก สีสันและคอนทราสต์ดูเป็นธรรมชาติขึ้นอย่างชัดเจน จนสามารถนำฟุตเทจไปใช้งานระดับมืออาชีพได้จริง
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ X5 ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือดีไซน์เลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งถือเป็นของหายากในกล้อง 360 การที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเฉพาะเลนส์ได้เอง ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดรอยขีดข่วนหรือกระแทกระหว่างใช้งานกลางแจ้ง เพราะสามารถเปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งกล้องเข้าศูนย์ทั้งหมด เพิ่มความมั่นใจให้สายลุยที่ต้องการความทนทาน
ในส่วนของระบบกันสั่น Insta360 ยังคงเป็นจุดแข็งหลัก X5 มาพร้อมเทคโนโลยี FlowState รุ่นใหม่ที่ทำให้ภาพนิ่งแม้กล้องจะหมุนรอบตัว 360 องศา พร้อม Horizon Lock ที่ช่วยรักษาเส้นขอบฟ้าให้ตรงอยู่เสมอไม่ว่ากล้องจะเอียงหรือหมุนไปทิศใด ฟุตเทจที่ได้จึงดูนุ่มนวลและสมูธเหมือนใช้กิมบอลระดับมืออาชีพ ทั้งหมดนี้ช่วยให้กล้องเหมาะกับการถ่ายทั้งทริปเดินทาง กิจกรรมเอาต์ดอร์ และงานคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์
อีกปัจจัยที่ทำให้ X5 ได้รับความนิยมคือระบบซอฟต์แวร์และแอปที่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ แอป Insta360 บนสมาร์ตโฟนและโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์รองรับการรีเฟรมอัตโนมัติด้วย AI สามารถเลือกมุมที่ดีที่สุดในวิดีโอได้เอง เพิ่มเอฟเฟกต์ และแชร์ลงโซเชียลมีเดียได้ทันที เรียกได้ว่าเป็นกล้องที่พร้อมใช้งานจริงในยุคครีเอเตอร์คอนเทนต์ ที่ต้องการความรวดเร็วและคล่องตัวมากกว่าการตัดต่อแบบดั้งเดิม
เสียงจากผู้ใช้จริงทั่วโลกต่างยืนยันตรงกันว่า X5 เป็น “กล้อง 360 ที่สมดุลที่สุดในตอนนี้” ทั้งในแง่คุณภาพภาพและความง่ายในการใช้งาน เว็บไซต์ Digital Camera World และ CGMagazine ต่างให้คะแนนสูงสุดในหมวดกล้อง 360 และชื่นชมว่าเป็นการอัปเกรดที่ “เห็นผลชัดเจน” จากรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บางกลุ่มก็มีข้อสังเกตว่าอุปกรณ์บางชิ้นจากรุ่นเก่า เช่น แบตเตอรี่หรือเมาท์ อาจไม่สามารถใช้ร่วมกับ X5 ได้ทั้งหมด จึงควรตรวจสอบก่อนอัปเกรด
โดยภาพรวม Insta360 X5 คือกล้อง 360 ที่ผสมผสานระหว่างความคมชัด ความทนทาน และความง่ายในการใช้งานได้อย่างลงตัวที่สุดในปีนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกล้องเดียวจบทั้งงานเที่ยวและงานคอนเทนต์ เป็นตัวแทนของยุคใหม่ของกล้องรอบทิศทางอย่างแท้จริง

DJI Osmo 360
หลังจากที่ Insta360 X5 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของกล้อง 360 ยุคปัจจุบัน อีกหนึ่งผู้เล่นที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือ DJI Osmo 360 ซึ่งถือเป็นการลงสนามครั้งสำคัญของแบรนด์โดรนยักษ์ใหญ่ที่คร่ำหวอดในวงการวิดีโอระดับมืออาชีพมายาวนาน DJI ไม่เพียงแค่ต้องการเป็นคู่แข่ง Insta360 เท่านั้น แต่ยังตั้งเป้า “ยกระดับประสบการณ์ภาพแบบ 360° ให้ใกล้เคียงกล้อง โปรมากที่สุด” ทั้งในเรื่องคุณภาพของภาพและความเป็นระบบนิเวศน์ครบวงจรที่ DJI ถนัดอยู่แล้ว
DJI Osmo 360 มาพร้อมเซนเซอร์คู่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดกล้อง 360 ขณะนี้ ขนาด 1 นิ้ว ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพได้ดีเยี่ยมแม้ในสภาพแสงน้อยหรือคอนทราสต์สูง ฟุตเทจมีความคมชัดและสีสันเป็นธรรมชาติแบบเดียวกับที่เห็นในกล้องระดับโปร นอกจากนี้ DJI ยังเปิดตัวระบบโทนสี D-Log M 10-bit ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เคยมีเฉพาะในกล้องระดับมืออาชีพมาก่อน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเกรดสีได้ละเอียดและกว้างขึ้นมาก เหมาะสำหรับงานตัดต่อภาพยนตร์ สารคดี หรือวิดีโอโปรดักชันระดับสูง
การออกแบบตัวกล้องของ DJI Osmo 360 ยังคงเอกลักษณ์สไตล์ DJI ที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม แข็งแรงแต่เรียบหรู พร้อมบอดี้ที่กันน้ำได้ลึก และระบบระบายความร้อนที่ดีขึ้น เพื่อรองรับการถ่ายวิดีโอ 8K อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดอาการร้อนจัด ขณะเดียวกัน ระบบกันสั่นแบบ “HorizonSteady 360” ก็ถูกพัฒนาให้รักษาแนวระนาบของภาพให้นิ่งแม้หมุนตัวแรงหรือเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ถือเป็นเทคโนโลยีที่สืบต่อจากประสบการณ์ด้านโดรนที่ DJI สั่งสมมานาน
ด้านเสียง DJI ได้ติดตั้งไมโครโฟนรอบทิศทางเพื่อเก็บเสียงได้สมจริงยิ่งขึ้น และยังรองรับการเชื่อมต่อกับชุดไมค์ไร้สาย DJI Mic 2 โดยตรง ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมยอดนิยมในหมู่วิดีโอกราเฟอร์มืออาชีพ ผู้ใช้จึงสามารถเก็บเสียงคมชัดแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีลมแรงหรือเสียงรบกวนสูง ช่วยลดภาระในการบันทึกเสียงภายนอกและทำให้ workflow การทำงานกระชับขึ้น
สิ่งที่ DJI ทำได้ดีไม่แพ้ใครคือการผสานกล้อง Osmo 360 เข้ากับระบบแอปพลิเคชันของตนเองอย่าง DJI Mimo และ DJI Studio ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถพรีวิว รีเฟรม และตัดต่อวิดีโอ 360 ได้ทันทีจากสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมภายนอก อินเทอร์เฟซที่คุ้นเคยจากสาย DJI ทำให้ผู้ใช้เดิมของแบรนด์สามารถเริ่มต้นใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และสำหรับมือใหม่ก็มีโหมด AI Reframe ช่วยแนะนำมุมกล้องที่น่าสนใจให้โดยอัตโนมัติ
เสียงตอบรับจากผู้ใช้จริงหลังเปิดตัว DJI Osmo 360 ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงบวก รีวิวหลายสำนักยกย่องคุณภาพของภาพที่เหนือชั้น โดยเฉพาะในงานถ่ายกลางคืนหรือสถานที่ที่มีแสงซับซ้อน ฟุตเทจมีความใกล้เคียงกล้อง โปร มากที่สุดในกลุ่ม 360 ขณะเดียวกันก็มีเสียงสะท้อนบางส่วนว่าเลนส์ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังการกระแทกหรือรอยขีดข่วนมากกว่ากล้องบางรุ่นในตลาด นอกจากนี้ ระบบเสียงแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังมีข้อจำกัดเมื่อเจอกับลมแรง ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการต่อไมค์ไร้สายของแบรนด์เอง
DJI Osmo 360 จึงเป็นกล้องที่สะท้อนความตั้งใจของ DJI ในการบุกตลาดใหม่อย่างจริงจัง มันไม่ได้เป็นเพียงกล้องสำหรับสายลุยเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ครีเอเตอร์ระดับ มืออาชีพ ที่ต้องการคุณภาพของภาพและสีในระดับโปรดักชัน พร้อม ecosystem ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นของ DJI ได้อย่างราบรื่น เรียกได้ว่า Osmo 360 คือ “ทางเลือกของคนที่ต้องการภาพสวยระดับโปร แต่ยังอยากได้มุมมอง 360 ครบทุกองศา”

GoPro Hero Max2
หลังจากที่ Insta360 และ DJI ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในตลาดกล้อง 360 องศามาได้พักใหญ่ แบรนด์แอคชั่นแคมระดับตำนานอย่าง GoPro ก็กลับมาสู่สมรภูมินี้อีกครั้งอย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยการเปิดตัว GoPro Max 2 กล้อง 360 รุ่นใหม่ที่ทางบริษัทระบุว่าเป็น “กล้อง True 8K 360 ตัวแรกของ GoPro” และออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สายแอคชั่นอย่างแท้จริง
GoPro Max 2 มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่ยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ครบ แต่เสริมด้วยรายละเอียดที่ตอบโจทย์การใช้งานภาคสนามมากขึ้น บอดี้กันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตรโดยไม่ต้องใส่เคสเสริม และใช้ระบบเลนส์แบบ Twist-and-Go Replaceable Lenses ซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายเมื่อเกิดรอยหรือกระแทก ถือเป็นครั้งแรกในตระกูล Max ที่ให้ผู้ใช้ดูแลกล้องได้เองในทุกสภาพการผจญภัย GoPro ยังคงเน้นความ “ถึก” แต่ผสมความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้เหมาะกับทั้งนักกีฬา Extreme และครีเอเตอร์ที่ต้องการความคล่องตัวสูง
ในด้านสเปก Max 2 มาพร้อมเซนเซอร์คู่รุ่นใหม่ที่รองรับการบันทึกวิดีโอ 8K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และโหมด 10-bit GP-Log ที่สามารถนำฟุตเทจไปเกรดสีในงานระดับโปรดักชันได้โดยตรง ระบบกันสั่นถูกยกระดับขึ้นเป็น HyperSmooth 6.0 360 ทำให้ภาพนิ่งแม้ขณะเคลื่อนไหวรวดเร็วหรือหมุนกล้องอย่างต่อเนื่อง พร้อม Horizon Lock ที่คงเส้นขอบฟ้าให้ตรงตลอดเวลา นอกจากนี้ GoPro ยังติดตั้งไมโครโฟนรอบทิศทางที่ให้เสียง 3D Spatial Audio สมจริงยิ่งขึ้น และปรับปรุงการตัดเสียงลมให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ในส่วนของการใช้งาน GoPro ได้อัปเกรดแอป Quik 360 ให้ใช้งานง่ายขึ้น สามารถรีเฟรม ตัดต่อ และแชร์คอนเทนต์ได้ทันทีบนสมาร์ตโฟน รวมถึงรองรับการสตรีมแบบ 360 องศา ไปยัง YouTube VR หรือ Facebook 360 โดยตรง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ GoPro ที่ยังคงเข้าใจครีเอเตอร์สายลงสนามจริงมากที่สุด
แม้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ GoPro Max 2 ยังอยู่ในช่วงเริ่มวางจำหน่าย ทำให้เสียงจากผู้ใช้จริงยังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นรีวิวเบื้องต้นจากอินฟลูเอนเซอร์และสื่อเทคโนโลยีที่ได้รับกล้องไปทดสอบล่วงหน้า โดยหลายรายให้ความเห็นตรงกันว่าภาพที่ได้มีความคมชัดสูงมาก การกันสั่นทำได้ยอดเยี่ยม และคุณภาพเสียงดีขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นแรก อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอการทดสอบระยะยาวจากผู้ใช้ทั่วไปเพื่อยืนยันว่ากล้องจะรักษามาตรฐานดังกล่าวได้ดีเพียงใดในสถานการณ์จริง
การกลับมาของ GoPro ครั้งนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นการประกาศชัดว่าแบรนด์ยังไม่ยอมทิ้งสนามกล้อง 360 ที่ตนเองเคยเป็นผู้บุกเบิก และ Max 2 ก็ดูจะเป็นคำตอบของคำถามที่ค้างคาในใจแฟน GoPro มานาน — ว่าบริษัทจะกลับมาพร้อมอะไรใหม่บ้าง แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า Max 2 จะสามารถโค่นคู่แข่งได้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ “GoPro กลับมาพร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม” และพร้อมเข้าร่วมศึกกล้อง 360 องศาอย่างเต็มตัวอีกครั้ง
เลือกกล้อง 360 องศาที่ใช่ สำหรับคุณ
กล้อง 360 องศาในยุคนี้ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีหวือหวาเพื่อสร้างความตื่นตาอีกต่อไป แต่ได้พัฒนาไปสู่จุดที่ “ลงตัวและใช้งานได้จริง” (Practical Technology) สำหรับทั้งนักเดินทางและครีเอเตอร์ เพราะสามารถ “ถ่ายไว้ก่อน เลือกมุมทีหลัง” ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องคอยจัดเฟรมหรือหมุนกล้องตลอดเวลา เพียงวางกล้องไว้จุดเดียวก็เก็บภาพรอบตัวได้ครบทุกทิศทาง ทำให้ไม่พลาดทุกโมเมนต์สำคัญ นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็น “กล้องตัวที่สอง” เพื่อเสริมมุมมองให้คอนเทนต์หลัก เช่น มุมสูงแบบ Drone View หรือมุมโลกกลมสุดสร้างสรรค์ที่ได้จากโหมด Invisible Selfie Stick ซึ่งระบบจะลบไม้เซลฟี่ออกจากภาพโดยอัตโนมัติ เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงสร้างภาพที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการเล่าเรื่องได้อย่างมหาศาล ทำให้กล้อง 360 กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทั้งทรงพลังและคุ้มค่าต่อการใช้งานจริง มากกว่าจะเป็นเพียงของเล่นสำหรับสายเทคโนโลยีเหมือนในอดีต.
สำหรับใครที่กำลังมองหากล้อง 360 องศาคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเพื่อเก็บภาพการเดินทางสุดประทับใจ สร้างคอนเทนต์แปลกใหม่บนโซเชียล หรือบันทึกกิจกรรมแอคชั่นที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ตอนนี้ EC MALL ร้านกล้องแนะนำ ที่มีกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพครบวงจร มีสินค้าพร้อมให้เลือกแล้วทั้ง Insta360 X5, DJI Osmo 360 และ GoPro Max 2 พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำการใช้งานจริง ตั้งแต่การตั้งค่า การถ่าย ไปจนถึงการตัดต่อ เพื่อให้คุณได้เลือกกล้องที่เหมาะกับสไตล์ของตัวเองที่สุด
