ผู้เชี่ยวชาญย้ำ! ไทยเข้าใกล้เป้ายุติเอดส์ 95-95-95 ชี้ต้องเร่ง “ป้องกันเชิงรุก” ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างยั่งยืน

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันเอดส์โลก” โดยแนวคิด ปี 2568 คือ “Overcoming disruption, transforming the AIDS response: ก้าวข้ามวิกฤต พลิกโฉมงานเอดส์” เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศเร่งลดผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างยั่งยืน สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยจึงเน้นย้ำแนวทาง “ตรวจให้รู้ – ป้องกันให้ทัน – รักษาให้ถึง” พร้อมเสริมความเข้าใจเรื่องการป้องกันเชิงรุกด้วย “ตรวจเอชไอวี–ใช้ถุงยาง–เพร็พ–เพ็พ” เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระดับโลก “95-95-95” ในการยุติเอดส์ภายในปี 2573

ผศ.พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “แม้ประเทศไทยเดินหน้าควบคุมสถานการณ์เอชไอวีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเอดส์มากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ และ ‘ผู้ติดเชื้อจำนวนมากยังไม่รู้สถานะของตนเอง’ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและชายรักชายยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ”

“ทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ล้วนมีความเสี่ยง เพราะไม่มีทางรู้ว่าคู่ร่วมเพศอาจติดเชื้อโดยไม่ปรากฏอาการ การยุติเอดส์ต้องเริ่มจากการป้องกันเชิงรุก ใช้ถุงยางร่วมกับการใช้ยาเพร็พอย่างถูกวิธี และตรวจเอชไอวีสม่ำเสมอ หากรู้สถานะเร็วจะเข้าสู่การรักษาเร็ว ลดการแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ต้นทาง” ผศ.พญ.จุรีรัตน์ กล่าว

เครื่องมือสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงผู้ติดเชื้อรายใหม่ คือการเข้าถึงการป้องกันด้วย ‘เพร็พ’ (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ ซึ่งมีแบบรับประทานทุกวัน (Daily) แบบเฉพาะกิจ (On-Demand) และแบบฉีดทุก 2 เดือน ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่เพิ่มความต่อเนื่องในการป้องกันสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกรับประทานยาเป็นประจำ และยังลดความกังวลต่อการถูกมองในแง่ลบจากสังคม เนื่องจากไม่ต้องพกหรือรับประทานยาต่อหน้าผู้อื่น เมื่อใช้ร่วมกับ ‘ถุงยาง’ ความเสี่ยงจะลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ ‘เพ็พ’ (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) หรือยาต้านไวรัสฉุกเฉินหลังเสี่ยงสัมผัสเชื้อ ลดโอกาสการติดเชื้อได้ คนไทยสามารถเข้าถึงยาได้ที่โรงพยาบาลหรือคลีนิคเอชไอวีทั่วประเทศ โดยสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ผศ.พญ.จุรีรัตน์กล่าวเสริมว่า “แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยให้การป้องกันสะดวกขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ความสม่ำเสมอ’ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยาง การใช้ยา หรือการตรวจเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง เพราะหากตรวจช้า ทำให้รู้ตัวช้าและรักษาช้า อาจเสี่ยงจาก ‘โรคฉวยโอกาส’ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น วัณโรค ปอดบวม หรือเชื้อราขึ้นสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้ติดเชื้อในไทย”

ข้อมูลกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ปี 2567 ระบุว่า ผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ 565,598 คน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,124 คนต่อปี ผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิต 9,067 คน แม้ประเทศไทยประสบความสำเร็จใน “95% แรก” ผู้ติดเชื้อที่รู้สถานะของตนเอง และ “95% ที่สาม” ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาสม่ำเสมอ และมีปริมาณไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบเชื้อ แต่อุปสรรคสำคัญคือ “95% ที่สอง” ผู้ติดเชื้อที่รู้สถานะของตนเองแต่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

ปัจจุบันสามารถเข้าถึงชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) ได้ฟรีที่หน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หน่วยบริการภาคประชาสังคม หรือรับผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” รวมถึงสามารถเข้ารับการตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ

ผศ.พญ.จุรีรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เราตั้งเป้าลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ำกว่า 1,000 รายต่อปี ภายในปี 2573 และลดการเสียชีวิตจากเอดส์ให้ต่ำกว่า 4,000 ราย หากทุกคนร่วมกัน ‘ตรวจให้รู้–ป้องกันให้ทัน–รักษาให้ถึง’ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถเข้าใกล้การยุติเอดส์ได้สำเร็จ”

ที่มา: ABM Connect