“รมว.พัฒนา” ขับเคลื่อนเชิงรุกนโยบายฟอกไตฟรี เน้นให้ความรู้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันไตเสื่อม

กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง พบคนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังราว 1.2 ล้านรายทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวจนเข้าสู่ระยะรุนแรง สาเหตุหลักจากเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน เน้นย้ำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีความสำคัญที่สุดเพื่อป้องกันการฟอกไตในอนาคต

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ข้อมูลจากระบบสุขภาพ ในปี 2567 พบว่า ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของประเทศไทย รวม 1,120,000 คน โดยในนั้นแบ่งเป็นผู้ป่วยระยะที่ 3 ประมาณ 500,000 คน ระยะที่ 4 กว่า 120,000 คน และระยะที่ 5 (ไตวาย) ราว 75,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ตัวจนกว่าจะเข้าสู่ระยะท้ายของโรค เนื่องจากโรคไตมักไม่มีอาการในช่วงเริ่มต้นโดยมักจะแสดงอาการในช่วงเข้าสู่ระยะ 3–5 และจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การฟอกเลือดการล้างไตทางช่องท้อง หรือการปลูกถ่ายไต ซึ่งสร้างภาระทั้งต่อครอบครัวและระบบงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ ภายใต้นโยบายฟอกไตฟรี รวมทั้งการพัฒนาระบบบริการโรคไตแบบครบวงจรตั้งแต่การป้องกัน คัดกรอง ไปจนถึงการรักษาและฟื้นฟูเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ทั่วถึงและลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ

  แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลการบริโภคโซเดียมของประเทศไทย พบว่า คนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหาร 4,351.69 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา พฤติกรรมดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ ขณะเดียวกันการดื่มน้ำน้อย และการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนคต่อเนื่องหรือใช้เกินขนาด ก็อาจทำลายเนื้อไตและทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงอย่างถาวรได้ นอกจากนี้ การใช้สมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมจากผู้เชี่ยวชาญหรือหมอพื้นบ้าน  การไม่ออกกำลังกาย และละเลยการตรวจสุขภาพก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้เช่นเดียวกัน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งผลักดันมาตรการคัดกรองโรคไตในกลุ่มเสี่ยงพร้อมรณรงค์ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดเค็ม ลดอาหารแปรรูป ดื่มน้ำให้เพียงพอ หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์อย่างเคร่งครัด

นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย และอายุรแพทย์โรคไต กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ขับเคลื่อน โครงการคนไทย 7.2 ล้านคน รู้ค่าความเสี่ยงโรคไต เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา พร้อมเชิญชวนประชาชนเข้ารับการคัดกรอง ที่โรงพยาบาล หรือสถานบริการใกล้บ้าน ให้ได้ตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคไตและวินิจฉัยระยะเริ่มต้น หวังห่างไกลโรคไตเรื้อรัง ลดค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลระยะยาว เช่น ตรวจเลือด เพื่อหาค่า eGFR เพื่อประเมินการทำงานของไต ตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น โปรตีนรั่ว หรือตรวจวัดความดันและน้ำตาลในเลือด เพื่อควบคุมโรคร่วมด้วย ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยก็ช่วยยืดอายุการทำงานของไตได้หลายปี และลดจำนวนผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องพึ่งพาการฟอกไตในอนาคตอีกด้วย

ที่มา: กรมอนามัย