“โนโรไวรัส” ยังระบาดต่อเนื่อง

ปัจจุบันยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อโนโรไวรัสจำนวนมาก มีการระบาดทั้งในสามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัย   อาการเด่นสุดคือ อาเจียน  ถ่ายเหลวเป็นน้ำ  

พญ.วิไลรัตน์ หล้ามาชน  กุมารแพทย์ คลินิกเด็ก โรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวว่า โนโรไวรัส (Norovirus) มีชื่อเดิมว่า Norwalk Virus  สามารถติดต่อได้หลายทาง เช่น  การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงไม่สุก เช่น หอย ผักผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด  รวมถึงการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง การจับหรือสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้ออยู่แล้วนำนิ้วเข้าปากโดยเฉพาะในเด็ก  จึงมักพบการระบาดอย่างรวดเร็วในโรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนประถม   เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายเชื้อจะอาศัยอยู่บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น  ภายใน 12-48 ชั่วโมงหลังรับเชื้อนี้   ทำให้เกิดความผิดปกติของการดูดซึมไขมันและน้ำตาลของลำไส้เล็ก  เกิดการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ  คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง  อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้  เช่น มีไข้ต่ำๆ  ปวดศีรษะ  ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ  อ่อนเพลีย  สำหรับรายที่มีอาการอาเจียนและถ่ายเป็นน้ำปริมาณมาก อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการขาดน้ำ  เช่น  อ่อนเพลียมาก มีชีพจรเบาแต่เร็ว  และมีความดันโลหิตต่ำได้

การตรวจวินิจฉัยโรคสามารถทำได้ในห้องปฏิบัติการโดยการตรวจอุจจาระ สำหรับการรักษาปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสชนิดนี้  จึงเป็นการดูแลรักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยทั่วไปส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นได้ในเวลา 3-4 วัน แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการหนัก  เช่น อาเจียน  ปวดท้องและถ่ายเหลวมาก  ทำให้เกิดภาวะขาดสารน้ำรุนแรง  อาจเกิดอันตรายจากการขาดน้ำ ทำให้ช็อค ความดันโลหิตต่ำ และเสียชีวิตได้ จึงควรพิจารณาให้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล  ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด และติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด  

สำหรับการป้องกันทั่วไปคือ การรักษาความสะอาดและสุขอนามัยรอบตัว  ซึ่งทำได้โดยล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดเป็นประจำหลังจากเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนผ้าอ้อม เชื้อไวรัสสามารถอยู่ในอุจจาระได้นานถึง 2 สัปดาห์

โนโรไวรัส (Norovirus)  มีความคงทนในสิ่งแวดล้อมมาก  น้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ที่ใช้อยู่  รวมทั้งแอลกอฮอล์ไม่สามารถที่จะฆ่าเชื้อได้  ในทางปฏิบัติ สารเคมีที่ใช้ในการฆ่าเชื้อได้ จะอยู่ในจำพวก ฟอร์มาลิน  กลูตารอลดีไฮด์  และสารประกอบจำพวกคลอรีน  เช่น โซเดียมไฮโปคลอไรด์ (2%)  คลอรอกซ์ และไฮเตอร์  อย่างไรก็ตามสารดังกล่าวจะมีกลิ่นเหม็นมากจึงใช้ยาก  นอกจากใช้ล้างห้องน้ำ   จึงขอแนะนำว่าในชีวิตประจำวัน  ให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยวิธีใช้น้ำและสบู่ล้างมือ  โดยใช้น้ำชะล้าง  เพื่อทำให้ไวรัสเจือจางไปให้มากที่สุด

ที่มา: โรงพยาบาลหัวเฉียว