มีคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้นำ’ ไม่ได้วัดจากเสียงที่ดังที่สุด แต่วัดจากความสง่างาม ความถ่อมตน การช่วยเหลือสังคม และเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เติบโตบนเส้นทางของตัวเอง เช่นเดียวกับ มาริษา เจียรวนนท์ ผู้หญิงเก่งที่น้อยคนจะรู้จักตัวตนของเธอในทุกมิติ มาริษาไม่เคยมุ่งแสวงหาความสำเร็จส่วนตน หากแต่ส่งเสริมเรื่อง ‘การให้’ ที่เธอทุ่มเทมากว่า 20 ปี บนความเชื่อที่ว่า “ความสำเร็จที่แท้จริง คือการเปิดพื้นที่ให้ผู้อื่นได้เติบโตในแบบฉบับของตัวเอง”

มาริษาสวมหมวกหลายใบ ทั้งในบทบาทที่ปรึกษาประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด นักขับเคลื่อนสังคม ผู้สนับสนุนงานศิลปะร่วมสมัย และผู้ผลักดันการศึกษาของไทย ซึ่งไม่ว่าจะบทบาทใด ปรัชญาในการทำงานของเธอนั้นเรียบง่ายและมั่นคงเสมอมา คือการทำเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง นอกเหนือจากบทบาททั้งหมดเธอยังมีความสุขกับบทบาทของความเป็น ‘แม่’ ที่เธอให้คุณค่าสูงสุด
“การเป็นแม่สอนให้เราฟังก่อนเสมอ” มาริษากล่าว “เราไม่ได้มีหน้าที่ปั้นใครให้เป็นแบบที่เราคิด แต่เรามีหน้าที่สนับสนุนความฝันและช่วยให้เขาได้เติบโตบนเส้นทางของตัวเอง” แนวคิดนั้นหลอมรวมอยู่ในปรัชญาการใช้ชีวิตอันละเมียด และขยายสู่การทำงานเพื่อสังคมในทุกมิติ
Foundation of Giving: เพราะ ‘การให้’ เริ่มต้นจากความเข้าใจ
การให้ของมาริษา ไม่ได้เริ่มจากความเหนือกว่า แต่เริ่มจากการยืนเคียงข้างและการรับฟังด้วยหัวใจ จนตลอดกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดมูลนิธิขึ้นถึง 2 แห่ง ได้แก่
มูลนิธิเดอะบิวด์ (The BUILD Foundation) ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2548 จากคำถามที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งที่ว่า “เราจะช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในชนบทห่างไกลได้อย่างไร”โดยไม่พรากพวกเขาออกจากรากเหง้าและความสุขเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน จากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล มาริษาเชื่อว่า การช่วยเหลือที่ยั่งยืนไม่ใช่การพาเด็กออกจากชุมชน แต่คือการมอบทักษะที่ติดตัวไปตลอดชีวิต
มูลนิธิฯ เริ่มต้นขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสำหรับเยาวชนในชนบทที่การเข้าถึงยากลำบาก โดยมุ่งพัฒนาโครงการด้านการศึกษา โภชนาการ สุขอนามัย และทักษะแห่งอนาคต ตั้งแต่การสร้างโรงเรียน การพัฒนาคุณภาพชีวิต และล่าสุดการเปิดตัว ‘BUILD Skills Lab’ ศูนย์ฝึกอาชีพต้นแบบแห่งแรกของชุมชน ณ โรงเรียนบ้านหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการทำอาหาร ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม โครงการนี้เปิดพื้นที่การเรียนรู้ให้ทั้งเยาวชนและคนในชุมชน ได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อโลกปัจจุบัน รองรับการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต และต่อยอดสู่การสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับตนเองและชุมชน ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤต COVID-19 มาริษาได้ก่อตั้ง มูลนิธิเชฟแคร์ส (Chef Cares Foundation) ด้วยความห่วงใยที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์ โดยเธอเชื่อว่า “พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด” สำหรับมาริษา สิ่งนั้นคือ อาหาร – อาหารที่ปรุงด้วยความตั้งใจ ความเคารพ และคุณภาพไม่ต่างจากสำรับในร้านอาหารชั้นนำ จากจุดเริ่มต้นนี้ การรวมพลังของเชฟมิชลินกว่า 70 คนจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า เธอมองว่า นี่คือภาพสะท้อนของความเอื้ออาทรที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ‘อาหาร’ จึงกลายเป็นภาษาแทนการดูแลและห่วงใยซึ่งกันและกัน
แม้วิกฤตโรคระบาดจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่ามูลนิธิฯ ยังคงทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องเพื่อเชื่อมระหว่าง ‘อาหารคุณภาพดี’ เข้ากับวิถีชีวิตของผู้คน อาหารพร้อมรับประทานที่เข้าถึงได้ง่ายจึงกลายเป็นอีกหนึ่งวิธีในการส่งต่อความห่วงใย โดยส่วนหนึ่งของรายได้จะนำกลับคืนสู่การทำงานเพื่อสังคมอีกครั้ง
“การให้ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือหวือหวา บางครั้งการทำสิ่งเล็ก ๆ ให้ดีอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอแล้ว”
สำหรับเธอ มูลนิธิฯ ไม่ใช่เพียงองค์กรการกุศล แต่เป็นพื้นที่สนับสนุนความฝัน ความสุข และส่งต่อการช่วยเหลือให้คนที่ต้องการโอกาส โอกาสที่จะเติบโตจากความเข้าใจและความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ทุกคน
Landmark, Art Space: จากนักสะสมสู่ผู้สนับสนุนระบบนิเวศของงานศิลปะร่วมสมัย
ความเชื่อในพลังของการให้ยังสะท้อนผ่านโลกของศิลปะร่วมสมัย มาริษาชุบชีวิตอดีตโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช อาคารเก่าแก่อายุกว่า 80 ปีในย่านเยาวราช ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2543 ให้กลายเป็น บางกอก คุนส์ฮาเลอ (Bangkok Kunsthalle) อาร์ตสเปซแห่งใหม่ในย่านเยาวราช ให้เป็นพื้นที่เปิดกว้างต่อความคิดสร้างสรรค์และศิลปะร่วมสมัยในภูมิภาค
อาคารที่คงสภาพดิบเดิมไว้แทบทุกกระเบียดนิ้ว เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจถึง ‘วัฏจักรของชีวิต’ ตั้งแต่การเกิด เติบโต รุ่งเรือง เสื่อมถอย โรยรา และดับสูญไปตามกาลเวลา
“ศิลปะสอนให้เราถ่อมตัว” เธอกล่าว “มันย้ำเตือนว่า ไม่มีสิ่งใดคงอยู่นิรันดร์ นั่นเองที่ทำให้เราต้องหันมาดูแลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างดีที่สุด หนึ่งในนั้นคืองานศิลปะ”
แนวคิดเดียวกันนี้ขยายสู่ เขาใหญ่ อาร์ต ฟอเรสต์ (Khao Yai Art Forest)แลนด์มาร์กศิลปะแห่งใหม่ในเขาใหญ่ พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยท่ามกลางผืนป่า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ฟื้นฟูจิตใจให้ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอีกครั้ง ที่นี่ ‘ศิลปะ’ เป็นมากกว่าความรื่นรมย์ แต่เป็นการสั่งสม ‘ประสบการณ์’ ที่ชวนให้ผู้คนหยุดนิ่ง ปล่อยวาง กลับมาเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติและตัวตนภายใน
“เมื่อเราเปิดพื้นที่ให้ศิลปะ เราก็เปิดพื้นที่ให้ธรรมชาติได้หายใจและตัวตนภายในได้ผลิบานเช่นกัน ฉันจึงอยากดูแลผืนดินรกร้างในอดีตเพื่อให้เป็นบ้านของพืชพื้นเมือง อนุรักษ์พืชพันธุ์หายาก อาหารพื้นเมือง รวมถึงภูมิปัญญาที่ถูกลืมเลือนได้มีโอกาสดำรงอยู่และส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดไป นี่คือระบบนิเวศของศิลปะที่มีลมหายใจ”
เธอยังหลอมรวมพื้นที่ศิลปะควบคู่กับการสร้างอาชีพให้แก่นักเรียนและชุมชน ผ่านความร่วมมือกับ เชฟวุฒิ–วุฒิศักดิ์ วุฒิอัมพร หนึ่งในเชฟประจำโครงการ Chef Caresในฐานะเชฟผู้สร้างสรรค์เชิงศิลป์ (In-Residence Culinary Artist) คนแรกของโครงการเขาใหญ่ อาร์ต ฟอเรสต์ การพบกันของศิลปะ อาหาร และชุมชน ก่อให้เกิดเมนูพิเศษสำหรับผู้มาเยือน พร้อมการออกแบบเมนูซิกเนเจอร์จากอาหารพื้นบ้านและวัตถุดิบท้องถิ่น
“ศิลปะไม่ควรหยุดอยู่แค่ในพื้นที่จัดแสดง ถ้ามันสามารถต่อยอดเป็นการเรียนรู้ เป็นอาชีพ และเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนได้ มันถึงจะเรียกว่า ‘ศิลปะที่มีชีวิต’ อย่างแท้จริง”
การร่วมมือกับ Chef Cares ทำให้เขาใหญ่ อาร์ต ฟอเรสต์ กลายเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และส่งเสริมทักษะให้กับชุมชน ควบคู่กับการเรียนรู้ทักษะแห่งอนาคตอย่างการใช้เทคโนโลยีจนถึงการนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้พวกเขาปรับตัวและก้าวเดินไปกับโลกยุคใหม่ได้อย่างเหมาะสม
A Business Led with Care: ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจของผู้ให้
ในบทบาทที่ปรึกษาพิเศษประธานอาวุโสของเครือเจริญโภคภัณฑ์ มาริษาเชื่อมโยงโลกธุรกิจกับคุณค่าทางสังคมอย่างลงตัว ผ่านโปรเจ็กต์อาหารพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ Chef Cares ที่ผลิตและจัดจำหน่ายในร้าน เซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ สะท้อนความเชื่อว่า ผู้คนควรเข้าถึงอาหารคุณภาพดีได้ในทุกวัน และทุกมื้อสามารถส่งต่อความปรารถนาดีผ่านอาหารได้อย่างลงตัว
ส่วนหนึ่งของรายได้จะคืนสู่การทำงานของมูลนิธิฯ รวมถึงโครงการสานฝันปั้นเชฟ (Chef Cares Dream Academy) ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนจากกรมพินิจฯ ได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหาร การฝึกงานกับเชฟมืออาชีพ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยศักดิ์ศรีและความหวัง
“ทุกคนควรได้รับโอกาสเริ่มต้นใหม่ บางครั้งสิ่งที่เขาต้องการมีเพียงใครสักคนที่เชื่อในตัวเขาก่อน เราอยากให้พวกเขาได้กล้าที่จะฝัน และรับรู้ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมสนับสนุนความฝันของพวกเขาเสมอ โดยไม่ยัดเยียด ไม่ตีกรอบ และคำนึงถึงความสุขของพวกเขาเป็นสำคัญ”
ปรัชญาผู้นำ: พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่กับการเข้าใจความสุขที่แท้จริง
ไม่ว่าจะบทบาทใด แก่นแท้ของภาวะผู้นำสำหรับมาริษา คือการเป็น ‘ผู้ให้’ มากกว่า ‘ผู้ควบคุม’ เธอเชื่อว่า องค์กรที่เริ่มต้นจากความรู้สึกขอบคุณจะหล่อเลี้ยงความเห็นอกเห็นใจและความถ่อมตนได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งการศึกษา คือรากฐานของความสำเร็จและโอกาสในชีวิต
คุณค่าที่เธอปรารถนาจะส่งต่อทั้งสู่เยาวชนและลูก ๆ ของเธอเอง “ถ้าลูก ๆ จะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากการทำงานของฉันก็ตาม ฉันหวังว่าพวกเขาจะเห็นถึงคุณค่าของการให้ ไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นการได้ทำเพื่อผู้อื่น การมอบโอกาสให้แก่ผู้ที่ต้องการ และการทำสิ่งดี ๆ เพื่อตอบแทนสังคม”
สำหรับ มาริษา เจียรวนนท์ งานและชีวิตไม่เคยแยกจากกัน การทำงานทำให้มุมมองชีวิตของเธอลุ่มลึกมากขึ้น ขณะที่ชีวิตก็ทำให้การทำงานอ่อนโยนและมีความหมายมากมายกว่าเดิม ความสง่างามในแบบของมาริษาจึงอยู่ที่การรู้ว่า เมื่อใดควรนำและเมื่อใดควรถอยเพื่อเปิดทางให้ผู้อื่นได้ก้าวเดิน นี่คือความสง่างามของการทำงาน และความลุ่มลึกของชีวิต ชีวิตที่เลือกจะเติบโตไปพร้อมกับผู้อื่นอย่างงดงาม

