“เจ้าท่า” ชู 5 มาตรการ ปี 2569 ยกระดับงานนำร่องทั้งระบบ สู่มาตรฐานสากลปฏิรูปงานนำร่องไทยครั้งใหญ่ ดันบริการนำร่องเป็น E-Service เต็มรูปแบบตั้งแต่การขอใช้นำร่อง–ชำระเงิน–เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อความสะดวกและโปร่งใส สนับสนุนฝึกอบรมผู้นำร่องตามหลักสูตร IMO และเวที IMPA–APMPA เดินหน้าร่วมมือรัฐ–เอกชนทุกเขตท่า ปรับปรุงกระบวนการทำงาน มุ่งยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางเดินเรือที่ปลอดภัย วางหมุดหมายขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายเดินเรือที่ปลอดภัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูง รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจการค้าทางน้ำอย่างยั่งยืน นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของปี 2569 ว่า กรมเจ้าท่าให้ความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยของการนำร่องในทุกเขตท่า เพื่อรองรับการเติบโตของโลจิสติกส์ทางน้ำ และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ถือเป็นปีแห่ง “การปรับระบบบริการสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ (Full Digitization)” ควบคู่กับการสร้างบุคลากรนำร่องที่มีความเชี่ยวชาญสู่ระดับสากล เพื่อรองรับบทบาทของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งทางทะเลในภูมิภาค “แผนงานปี 2569 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับระบบนำร่องไทยให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทั้งด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และคุณภาพบุคลากร เพื่อสนับสนุนการเติบโตของท่าเรือไทย และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว” นายกริชเพชร กล่าว

โดยในปี 2569 ทางสำนักนำร่อง กรมเจ้าท่า ได้วางแนวทาง 5 มาตรการเชิงรุก เพื่อยกระดับมาตรฐานงานนำร่องให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้ 1) ยกระดับบริการขอใช้นำร่องออนไลน์ 100% ซึ่งกรมเจ้าท่า เตรียมวางขั้นตอนการขอใช้นำร่องและการชำระเงินค่าบริการในทุกเขตท่าให้เป็นระบบออนไลน์ (E-Service) ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องยื่นเอกสารที่สำนักงานอีกต่อไป สามารถชำระเงินผ่าน QR Code และพิมพ์ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส 2) เปิดพื้นที่สังเกตการณ์การนำร่องแบบมี Third Party โดยสำนักนำร่องจะเชิญหน่วยงานภายใน–ภายนอกกรมเจ้าท่า รวมทั้งสำนัก/กองที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมสังเกตการณ์ขั้นตอนการนำร่องจริงบนเรือสินค้า เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ติดตามมาตรฐาน และสร้างความร่วมมือในการทำงาน โดยประสานการสนับสนุนจากบริษัทเรือเป็นรายกรณี3) รณรงค์วัฒนธรรมความปลอดภัย และการสื่อสารระหว่างประเทศ ผู้นำร่องจะได้รับการส่งเสริมให้ตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงานตลอดเวลา พร้อมยกระดับการสื่อสารกับนายเรือต่างชาติ เพื่อให้การทำงานบนสะพานเดินเรือเป็นไปอย่างเข้าใจตรงกัน ลดความเสี่ยง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย 4) เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยทุกเขตท่าจะจัดประชุมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานรัฐ–เอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ และพัฒนาแนวทางบริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดทำแบบสำรวจความพึงพอใจทุก 3–6 เดือน เพื่อให้บริการตอบโจทย์มากที่สุด และ 5) เดินหน้าโครงการศึกษาพัฒนามาตรฐานการนำร่องทั่วประเทศ ซึ่งทางสำนักนำร่องร่วมกับสำนักแผนงานและกองต่าง ๆ จัดตั้งคณะกรรมการว่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาระบบการนำร่องแบบองค์รวมในทุกมิติ ตามงบประมาณปี 2569 โดยได้วงเงินประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อยกระดับมาตรฐานงานนำร่องของประเทศไทยสู่ระดับสากล
นอกจากนี้ ทางสำนักนำร่อง ยังเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำร่องไทยสู่มาตรฐานที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization – IMO) เพื่อรองรับปริมาณเรือเข้า–ออกท่าเรือไทยที่เพิ่มขึ้น โดยสำนักนำร่องได้วางแผนพัฒนาบุคลากรทั้งสายปฏิบัติการและสายบริหาร ดังนี้1) อบรมหลักสูตร Ship Handling (Manned Model) ในต่างประเทศ ผู้นำร่องจะเข้ารับการฝึกหลักสูตร Ship Handling on Manned Models ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลของ IMO โดยเสนอใช้งบประมาณปี 2568 จำนวน 2.7 ล้านบาท เสริมมุมมองระดับนานาชาติ ผ่านเวที IMPA และ APMPA ผู้นำร่องฝ่ายบริหารจะเข้าร่วมการประชุมความปลอดภัยและมาตรฐานงานนำร่องกับ IMPA (International Maritime Pilot’s Association) APMPA (Asia-Pacific Maritime Pilot’s Forum) โดยในปี 2569 เตรียมเข้าร่วมประชุม IMPA ที่อินโดนีเซีย ในช่วงวันที่ 23–28 ต.ค. 2569 เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีแผนยกระดับศักยภาพผู้นำร่อง ให้สามารถดำเนินการนำร่องเรือขนาดใหญ่ประเภทเรือ Genting Dream มีขนาดความยาวที่ 335.33 เมตร ความกว้าง 39.7 มีลูกเรือ ประมาณ 2,000 คน รับนักท่องเที่ยว ได้ 3,000 คน เข้าเทียบท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ประมาณเดือนละ2 ครั้ง ตลอดทั้งปี 2569 นับเป็นความมุ่งมั่น ของการยกระดับงานนำร่องไทยสู่มาตรฐานสากล เพื่อความปลอดภัยทางน้ำและเสริมศักยภาพการขนส่งของประเทศสู่มาตรฐานโลกที่ยั่งยืน
