ถอดบทเรียนประวัติศาสตร์จากหนานจิง ส่งต่อสารแห่งสันติภาพ

อนุสรณ์สถานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์หนานจิง

หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “Dead to Rights” ได้สร้างปรากฏการณ์ความนิยมในระดับโลกเมื่อไม่นานมานี้ ประวัติศาสตร์การสังหารหมู่ที่หนานจิงได้กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครา ดังที่อาสาสมัครชาวอเมริกันท่านหนึ่งเปรยว่า “การเข้าใจประวัติศาสตร์ช่วยให้เรามองเห็นหนทางสู่สันติภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”

ในฐานะเมืองแรกของจีนที่ได้รับการยกย่องเป็น “นครสันติภาพนานาชาติ” หนานจิงได้มุ่งมั่นส่งเสริมคุณค่าของสันติภาพ และเปิดเวทีเจรจาระดับนานาชาติผ่านการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม นับตั้งแต่ที่ “เอกสารการสังหารหมู่หนานจิง” (Documents of the Nanjing Massacre) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกโดยยูเนสโกเมื่อสิบปีก่อน เมืองแห่งนี้ก็ไม่หยุดแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อผสานความจริงทางประวัติศาสตร์เข้ากับการศึกษาเพื่อสันติภาพ

ในปี 2562 เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของแบร์นฮาร์ด อาร์ป ซินด์เบิร์ก (Bernhard Arp Sindberg) ผู้ปกป้องผู้ลี้ภัยหลายหมื่นชีวิตในช่วงเหตุการณ์หนานจิง นครหนานจิงจึงได้เดินทางไปยังเดนมาร์ก เพื่อจัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์และนิทรรศการพิเศษ โดยผสมผสานงานหัตถศิลป์ดั้งเดิมแบบตะวันออกเข้ากับของที่ระลึกของเมือง พร้อมยึดแนวคิดการสร้างสรรค์ร่วมกัน ทำให้สายสัมพันธ์แห่งสันติภาพระหว่างหนานจิงกับเดนมาร์กแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความริเริ่มครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงจากสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก และสะท้อนถึงความจริงใจของหนานจิงในการเปิดพื้นที่บทสนทนาและความร่วมมือระหว่างประเทศ

ด้วยความร่วมมือกับยูเนสโก หนานจิงได้ขยายขอบเขตการเผยแพร่สันติภาพผ่านการมีส่วนร่วมของเยาวชน โดยเวทีฟอรัมสันติภาพหนานจิง (Nanjing Peace Forum) ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่สาม ได้นำผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และเยาวชนจากกว่า 40 ประเทศและภูมิภาค มาร่วมหารือแนวทางสู่สันติภาพที่ยั่งยืน อีกทั้งโครงการระดับโลกอย่าง “ดีไซน์ ฟอร์ พีซ” (Design for Peace) ยังรวบรวมนักศึกษากว่า 160 ชีวิต รวมถึงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและโปลีเทคนิโก ดิ มิลาโน (Politecnico di Milano) เข้า “ค่ายปฏิบัติการนานาชาติหงซาน” เพื่อส่งเสริมความกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติผ่านการเล่าเรื่องข้ามศาสตร์ข้ามศิลป์ และยังได้รับการยกย่องเป็นต้นแบบเชิงปฏิบัติใน “เขตนำร่องเศรษฐกิจธรรมชาติใหม่” (New Nature Economy Pilot Zone) ณ ดาวอส ฟอรัม (Davos Forum) ด้วย

อนุสรณ์สถานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์หนานจิง ใช้กลยุทธ์เผยแพร่เนื้อหาหลากหลายแพลตฟอร์มและรูปแบบ เพื่อให้ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ก้าวข้ามพรมแดน ในทุกปีของวันรำลึกเหยื่อจากเหตุการณ์นี้ พิธีกรรมอย่างการจุดเทียนรำลึกและเวทีการประชุมสันติภาพนานาชาติช่วยให้ผู้คนทั้งในและต่างประเทศรับรู้และตระหนักถึงเหตุการณ์ จนถึงปัจจุบัน อนุสรณ์สถานแห่งนี้ได้เก็บสะสมวัตถุทางประวัติศาสตร์มากกว่า 106,000 ชิ้น พร้อมทั้งมีการบริจาคจากมิตรสหายต่างชาติและชาวจีนโพ้นทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหลักฐานสำคัญ เช่น บันทึกประจำวันของโยห์น ราเบอ (John Rabe) และภาพยนตร์ของจอห์น มากี (John Magee) ซึ่งล้วนเป็นทรัพยากรล้ำค่าสำหรับการวิจัยประวัติศาสตร์และการศึกษาเพื่อสันติภาพ

เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่นและสงครามต่อต้านฟาสซิสต์โลก นิทรรศการภาพถ่าย “ระลึกประวัติศาสตร์ ร่วมสร้างอนาคต” (Remembering History, Shaping the Future) ที่จัดขึ้นในเบลารุส ได้นำเสนอภาพประวัติศาสตร์และภาพร่วมสมัยอันทรงคุณค่า 70 ภาพ ตอกย้ำบทบาทสำคัญของจีนในสงครามต่อต้านฟาสซิสต์โลก เพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์หนานจิง นอกจากนี้ บัญชีโซเชียลมีเดียต่างประเทศอย่าง “หนานจิง เมมโมเรียล” (Nanjing Memorial) ของทางอนุสรณ์สถานฯ ยังนำเสนอซีรีส์อย่าง “วันนี้ในสงครามโลกครั้งที่ 2” (This Day in WWII) และ “ทูตสันติภาพ” (Peace Ambassadors) ผ่านวิดีโอโปสเตอร์ เกม และกิจกรรมอินเตอร์แอคทีฟ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสันติภาพไปยังผู้ชมทั่วโลก

นอกเหนือจาก “แพลตฟอร์มดิจิทัลหลายภาษาเพื่อเผยแพร่เอกสารประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนานจิง” ที่ริเริ่มและจัดทำโดยทางอนุสรณ์สถานฯ แล้ว นครหนานจิงยังได้จัดตั้งทีมอาสาสมัครนานาชาติจื่อจินเพื่อสันติภาพ (Zijin Grass International Volunteer Service Team for Peace) โดยการเข้าร่วมอย่างแข็งขันในการแลกเปลี่ยนวิชาการระดับนานาชาติด้านสันติภาพ รวมถึงการจัดพิมพ์ผลงานต่าง ๆ เช่น การเดินทางสู่สันติภาพ (Journey of Peace) และซีรีส์นครสันติภาพนานาชาติ (International Cities of Peace Series) ก็ได้เข้ามาช่วยเสริมเสียงของจีนในบทสนทนาเรื่องสันติภาพบนเวทีโลกด้วย

จากบาดแผลแห่งประวัติศาสตร์สู่ภาพฝันแห่งสันติภาพ หนานจิงได้ทุ่มเทอย่างแท้จริงเพื่อรักษาความทรงจำร่วมของมนุษยชาติ เปลี่ยนอดีตให้กลายเป็นพลังที่เสริมสร้างบทสนทนา ส่งเสริมการปรองดอง และจุดประกายแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่

ที่มา: อนุสรณ์สถานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์หนานจิง

ที่มา: ซินหัว-เอเชียเน็ท/ดาต้าเซ็ต