“โกลเบล็ก” จับตา FTSE ประกาศ Rebalance รอบใหม่ 19 ธ.ค.นี้

บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,230–1,280 จุด จากแรงกดดันการเมือง และปัญหาความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในระยะสั้น จึงแนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นได้ประโยชน์จากการปรับลดน้ำหนักการลงทุนดัชนี FTSE Rebalancing มีผล 19 ธ.ค.นี้ ได้แก่ THAI, AWC, SCCC ขณะหุ้นที่ถูกปรับออกอาจเผชิญแรงขายระยะสั้น

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศ หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา ส่งผลให้โครงการลงทุนใหม่ของรัฐบาลต้องชะลอออกไป โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ คนละครึ่งพลัสเฟส 2 โครงการ TISA ต้องเลื่อนออกไปทำให้ภาวะ เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 มีแนวโน้มแผ่ว

ขณะเดียวกันยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยทาง ส.อ.ท.ชี้การปะทะชายแดน “ไทยกัมพูชา” ส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจ และการขายต่อวันลดลงเกือบ 100% และการเจรจาการค้าภาษีสหรัฐฯ ยังต้องรอดูท่าทีสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม จึงคาดการณ์กรอบดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,230-1,280 จุด

สำหรับบรรยากาศการลงทุนในช่วงปลายปี 2568 มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจไทย โดยปัจจัยบวกที่โดดเด่น ได้แก่ บอร์ด BOI มีมติอนุมัติการลงทุนใหม่จำนวน 15 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 240,000 ล้านบาท ครอบคลุมอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์ พลังงานสะอาด นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และการขนถ่ายสินค้าทางเรือ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของไทยและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันภาครัฐมีการสนับสนุนการใช้งานรถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งล่าสุดบอร์ดอีวีเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) โดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตคงที่เป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2569-2575 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการและผลักดันไทยสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค

นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งนับเป็นการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนถึงความพยายามในการสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะการเงินโลก

ด้าน Dot Plot ล่าสุดส่งสัญญาณว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่เคยส่งสัญญาณไว้ในการประชุมเดือนกันยายนที่ผ่านมา และยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2569 ขึ้นเป็น 2.3% จากเดิม 1.8% สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ยังมีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องติดตามต่อไป

ขณะเดียวกัน ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ วันที่ 17 ธ.ค. กำหนดประชุมกนง. ครั้งสุดท้ายของปี 2568, สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, สศอ. แถลงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและวันที่ 30 ธ.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ยังเฝ้าติดตาม อาทิ วันนี้ 15 ธ.ค. ญี่ปุ่น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 4/2568, จีน รายงานราคาบ้านเดือนพ.ย. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนพ.ย. และอัตราว่างงานเดือนพ.ย., สหรัฐฯ รายงานดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนธ.ค. และดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค., วันที่ 16 ธ.ค. สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนรายสัปดาห์ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ต.ค. ยอดค้าปลีกเดือน ต.ค. ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน พ.ย. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้นเดือน ธ.ค.

นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น ได้ประโยชน์จากการปรับลดน้ำหนักการลงทุนจากดัชนี FTSE Rebalancing ซึ่งจะมีผลบังคับวันที่ 19 ธันวาคม 2568 โดยหุ้นที่ FTSE SET Large-Cap Index นำเข้าคำนวณ ได้แก่ THAI และนำออกจากการคำนวณ ได้แก่ AWC ด้าน FTSE SET Mid-Cap Index ที่มีการนำเข้าคำนวณ ได้แก่ AWC, SCCC และนำออกจากการคำนวณ ได้แก่ PTL, PSL, PSH, SNNP, STECON และ TQM

ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์