5 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้ ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม

เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน สิ่งแรกที่หลายคนมักกังวลไม่ใช่เรื่องวงเงินที่จะได้รับ แต่เป็นคำถามที่ว่า ดอกเบี้ยเงินกู้จะแพงแค่ไหน ? จะส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าระยะยาวหรือไม่ ? ความกังวลเหล่านี้เกิดจากความไม่แน่ใจในวิธีการคำนวณ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจาก Krungsri The COACH กูรูด้านการขอสินเชื่อที่จะมาช่วยไขข้อข้องใจ พาไปดู 5 เรื่องจริงเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่คุณต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญากู้เงิน เพื่อให้การกู้เงินครั้งนี้มีความคุ้มค่า เป็นธรรม และบริหารจัดการได้ง่าย

1. ดอกเบี้ยเงินกู้ คือต้นทุนที่เราต้องจ่าย

ก่อนจะไปดูวิธีคำนวณ ต้องปรับมุมมองก่อนว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ใช่แค่ค่าธรรมเนียม แต่มันคือค่าเช่าในการนำเงินของคนอื่น (ธนาคาร) มาใช้ล่วงหน้า ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะถูกกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี ยิ่งกู้นาน หรือมีความเสี่ยงสูง ต้นทุนส่วนนี้ก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย ดังนั้น ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ยจึงเป็นปัจจัยชี้วัดที่สำคัญที่สุดว่า สินเชื่อก้อนนั้น “ถูก” หรือ “แพง” กว่ากัน

2. เพดานดอกเบี้ยตามกฎหมาย อยู่ที่เท่าไร ?

กฎหมายไทยมีการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยไว้ชัดเจนเพื่อคุ้มครองผู้กู้ โดยแบ่งเป็น 2 กรณีหลักที่ต้องแยกให้ออก

  • การกู้ยืมระหว่างบุคคล (ทั่วไป) : กฎหมายกำหนดให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หากเกินกว่านี้ถือว่าผิดกฎหมาย และข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยนั้นจะเป็นโมฆะ
  • สถาบันการเงิน (ภายใต้การกำกับของ ธปท.) : สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 25 ต่อปี

การรู้เพดานตรงนี้จะช่วยให้เราประเมินได้ทันทีว่า ข้อเสนอที่ได้รับมานั้นเป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะหากใครกำลังหลงไปกู้เงินนอกระบบที่คิดดอกเบี้ยรายวัน หรือรายเดือนที่สูงเกินจริง

3. สูตรคำนวณดอกเบี้ยมี 2 แบบ

เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะส่งผลต่อยอดเงินที่เราต้องจ่ายคืนจริง โดยสถาบันการเงินมักใช้วิธีคำนวณ 2 รูปแบบ คือ

  • ดอกเบี้ยเงินต้นคงที่ (Flat Rate) : คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นก้อนแรกเพียงครั้งเดียว แล้วนำมาหารเฉลี่ยเป็นค่างวดรายเดือน ข้อดีคือค่างวดเท่ากันเป๊ะ จำง่าย มักพบในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ข้อเสียคือแม้เราจะหาเงินมาปิดหนี้เร็วขึ้น ดอกเบี้ยก็ไม่ได้ลดลงตาม
  • ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก (Effective Rate) : คิดดอกเบี้ยจาก “เงินต้นคงเหลือ” ในแต่ละงวด เมื่อเราผ่อนไปเรื่อย ๆ เงินต้นลดลง ดอกเบี้ยในงวดถัดไปก็จะลดลงตามไปด้วย วิธีนี้เป็นมาตรฐานของสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อส่วนบุคคล

4. ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ เรื่องเล็กที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่

หากเราขาดวินัย จ่ายช้า หรือจ่ายไม่ครบตามกำหนด สถาบันการเงินมีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยเพิ่ม หรือค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ซึ่งนอกจากจะทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งผลเสียต่อประวัติทางการเงินในระยะยาว ทำให้การขอสินเชื่อครั้งต่อไปทำได้ยากขึ้นด้วย

5. เลือกสินเชื่อแบบไหน ให้เหมาะกับสไตล์เรา

ในมุมมองของ Krungsri The COACH การเลือกสินเชื่อไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายทางการเงินของคุณเป็นหลัก หากคุณเป็นคนที่มีรายได้ประจำแน่นอน ชอบการวางแผนที่ชัดเจนว่าต้องจ่ายเดือนละเท่าไร และไม่อยากมานั่งลุ้นยอด สินเชื่อแบบ Flat Rate อาจตอบโจทย์พฤติกรรมของคุณมากกว่า แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบบริหารจัดการเงิน อยากปลดหนี้ให้เร็วที่สุด หรือรู้ตัวว่ามักจะมีโบนัสและเงินก้อนเข้ามาเติมระหว่างปี สินเชื่อแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) คือคำตอบที่ดีที่สุด เพราะเมื่อคุณมีเงินก้อนมา “โปะ” จะช่วยตัดเงินต้นได้โดยตรง ทำให้ดอกเบี้ยลดฮวบและปิดบัญชีได้เร็วกว่ากำหนด ซึ่งช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้มหาศาล

เรื่องของดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือซับซ้อนเกินเข้าใจ เพียงแค่เรารู้หลักการคำนวณ รู้ทันเพดานกฎหมาย และเลือกประเภทสินเชื่อให้เหมาะกับพฤติกรรมการผ่อนของตัวเอง ก็จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมายและเป็นธรรมได้ การวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้นจะช่วยให้การเป็นหนี้ครั้งนี้ ไม่สร้างภาระหนักเกินตัว และช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วกว่าที่คิด

ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา