คาร์เทียร์เฉลิมฉลองการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของบูติคแฟลกชิปสองชั้นแห่งใหม่ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พื้นที่กว่า 758 ตารางเมตร ในรูปแบบดูเพล็กซ์ ผสานความงามของการออกแบบร่วมสมัยเข้ากับจิตวิญญาณแห่งมรดกไทย และงานฝีมือชั้นสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง บูติคแห่งนี้ได้รับการรังสรรค์ภายใต้แนวคิด “Heavenly Cartier” ที่เชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนร่วมออกเดินทางสู่สรวงสวรรค์อันเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวังและความงดงามเหนือจินตนาการ โดยถ่ายทอดผ่านงานศิลป์ไทยแบบร่วมสมัยเข้ากับสไตล์และความเชี่ยวชาญในการออกแบบของเมซงอย่างวิจิตรบรรจง

พื้นที่ชั้นล่างของบูติค: สวรรค์บนผืนดิน
การเดินทางอันรื่นรมย์เริ่มต้นขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ชั้นล่างของบูติค ซึ่งเผยให้เห็นคอลเลคชั่นไอคอนิคของคาร์เทียร์ ไม่ว่าจะเป็น เลิฟ (LOVE) ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier) หรือ แคลช เดอ คาร์เทียร์ (Clash de Cartier) ที่เปล่งประกายท่ามกลางฉากหลังอันงดงาม เหนือศีรษะคือโคมไฟระย้าทรงหยดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาอย่างแผ่วเบาราวกับสายฝน ขณะที่พรมเบื้องล่างสะท้อนจังหวะตกกระทบของสายฝนอย่างกลมกลืน เพื่อสื่อถึงสายน้ำอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ได้อย่างชัดเจน บริเวณผนังระหว่างรูปแกะสลักแบบบาเรลีฟ (bas-reliefs) ของพระบรมมหาราชวังสองด้าน ถูกแต่งแต้มด้วยงานกระจกสีอันวิจิตรโดย O Thai ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกและงานโลหะที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ กระจกสีเหล่านี้ผ่านการย้อมด้วยมือในเฉดสีอันสดใสของทับทิม มรกต และแซฟไฟร์อันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องประดับทุตตี้ ฟรุตตี้ (Tutti Frutti) หนึ่งในเครื่องประดับระดับตำนานของเมซง ขณะที่กรอบโลหะในรูปทรงดอกพุดตาน หนึ่งในดอกไม้ชั้นสูงของไทย ชวนให้นึกถึงศิลปะแห่งการฝังประดับอัญมณีอันประณีตตามแบบฉบับคาร์เทียร์ได้อย่างละเมียดละไม
บรรยากาศอันอบอุ่นชวนผ่อนคลายในห้องต้อนรับของบูติคถูกขับเน้นให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยพลังชีวิตชีวาในแบบฉบับของเมืองกรุงเทพฯ ศิลปะการต่อฟาง (straw marquetry) ผลงานจาก Muse Design รังสรรค์ขึ้นจากวัสดุธรรมชาติอย่างฟางข้าวโพดและฟางข้าวด้วยการผสมผสานเทคนิคตะวันตกเข้ากับวัสดุท้องถิ่นของไทย เพื่อถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากมหานครที่ไม่เคยหลับใหล เมืองที่แสงไฟยามค่ำคืนเป็นประกายดุจดวงดาวบนฟากฟ้า การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติจากท้องถิ่นควบคู่กับการตีความงานหัตถศิลป์ในมุมมองใหม่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของคาร์เทียร์ในการถ่ายทอดความงามจากธรรมชาติ และการเชิดชูภูมิปัญญาช่างฝีมือไทยผ่านมุมมองแห่งความร่วมสมัย
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องทางขวามือ ทุกคนจะได้พบกับบรรดาแอคเซสเซอรี่ของคาร์เทียร์ที่โดดเด่นด้วยเฉดสีอันสดใสเข้ากับพื้นที่ได้อย่างงดงามลงตัว พื้นที่นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวนสวรรค์ โดยถ่ายทอดจินตนาการผ่านภาพบนฝาผนังของพรรณไม้เมืองร้อนหลากชนิดรังสรรค์ด้วยเทคนิคแบบผสมผสาน พร้อมฉากกั้นจากฝีมือของกรกช อารมย์ดี (โอ๋) ศิลปินชาวไทยผู้ถักทอเส้นใยธรรมชาติย้อมสีจากพืชพรรณไทยที่คุ้นเคยอย่างเปลือกต้นมะม่วง ต้นขนุน และโหระพา ตรงกันข้ามกับห้องนี้คือซุ้มรวงข้าวสีทองที่เปรียบเสมือนประตูเปี่ยมความหมายจากตำนานพื้นบ้านของไทยที่เชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนให้เข้าสู่อีกห้องที่จัดแสดงชิ้นงานหลากหลาย รวมถึงเรือนเวลาระดับไอคอนิคอย่างซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier), เบญนัวร์ (Baignoire) และแทงก์ (Tank) ซึ่งจัดวางเคียงคู่กับภาพของชะนีน้อยขี้เล่น ผลไม้พื้นถิ่นและพรรณไม้เขียวชอุ่ม เรื่องเล่าอันแสนสนุกนี้พร้อมปลุกเร้าจินตนาการ และมอบประสบการณ์แห่งการค้นพบอันน่าตื่นตาตื่นใจ ราวกับกำลังเดินทางผ่านผืนป่าแห่งเทพนิยาย
ก่อนจะก้าวสู่ชั้นถัดไป แขกผู้มาเยือนจะพบกับบันไดวนสุดสง่างาม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากก้อนเมฆที่ลอยล่องอย่างแผ่วเบาขึ้นสู่ฟากฟ้า
พื้นที่ชั้นบนของบูติค: สวรรค์ชั้นฟ้า
เมื่อก้าวขึ้นสู่ชั้นสอง เรื่องราวแห่งสรวงสวรรค์ยังคงดำเนินต่อในห้องแห่งคอลเลคชั่น Diamond อันระยิบระยับ บนฉากหลังของผลงานศิลปะขนาดใหญ่โดย Ease Studio และ Siam Celadon ที่ประดับอยู่กลางห้อง ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากตลับแป้งของคาร์เทียร์จากปี 1946 ซึ่งถูกตีความใหม่โดยรังสรรค์ส่วนมงกุฎของตัวล็อคด้วยเซรามิกแบบศิลาดล พร้อมประดับเส้นด้ายสีทองเป็นลวดลายดอกไม้อย่างงดงาม นอกจากนี้ตลอดแนวโถงยังตกแต่งด้วยผลงานปักมือโดยอนุชา ส่งเสริม (เมฆ) ศิลปินชาวไทยรุ่นใหม่ผู้ผสมผสานเทคนิคโอต์กูตูร์แบบฝรั่งเศสเข้ากับลวดลายไทยดั้งเดิมซึ่งใช้ประดับชุดโขนหลวง งานศิลป์ชิ้นนี้นำเสนอภาพของดอกโมก สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และความรุ่งเรืองที่เปรียบเสมือนการต้อนรับสู่สวรรค์เบื้องบน ผ่านการปักลูกปัดทองคำ เส้นไหม และดิ้นทองอย่างละเอียดวิจิตรด้วยความประณีตเทียบเคียงได้กับงานฝีมือในการรังสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงของคาร์เทียร์ พื้นที่แห่งนี้จึงช่วยเสริมความเปล่งประกายให้กับชิ้นงานประดับเพชรอันทรงคุณค่า ตั้งแต่ คอลเลคชั่นสำหรับเจ้าสาว ไปจนถึงคอลเลคชั่นไฟน์จิวเวลรี่และไฮจิวเวลรี่ที่ด้วยสัมผัสแห่งความเลอค่า
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องรับรองวีไอพีจะพบกับพื้นที่ที่สุดแห่งความหรูหราและเป็นส่วนตัว ซึ่งโดดเด่นด้วยผลงานชิ้นเอกจากอาจารย์มานพ วงศ์น้อย ศิลปินแห่งชาติและครูศิลป์แห่งแผ่นดิน ผู้ถ่ายทอดความงดงามของศิลปะไทยอย่างการลงรักปิดทองผสมผสานกับการใช้เปลือกไข่อันบอบบาง นับเป็นหนึ่งในงานหัตถศิลป์ดั้งเดิมอันทรงคุณค่า ผลงานชิ้นนี้จินตนาการถึงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ที่ซึ่งประกายทอง เงิน และผิวสัมผัสจากธรรมชาติหลอมรวมกันอย่างกลมกลืนเหนือกาลเวลา กระบวนการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันหลายขั้นตอนใช้เวลายาวนานกว่าสี่เดือน จนได้พื้นผิวที่แวววาวราวกับแสงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ส่งให้ห้องแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ทุกความปรารถนาจะถูกเติมเต็ม และทุกคำอธิษฐานล้วนเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์ และเช่นเดียวกับผลงานสร้างสรรค์ระดับตำนานของคาร์เทียร์ ผลงานศิลป์ในห้องแห่งนี้คือตัวแทนของความทุ่มเท และมรดกแห่งงานฝีมือที่สืบทอดอย่างยั่งยืนไม่เสื่อมคลาย
ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกมุมของบูติคแห่งนี้ ไม่เพียงสะท้อนความงดงามของสถาปัตยกรรมไทย แต่ยังเป็นการเชิดชูงานศิลปะหัตถกรรมดั้งเดิม ตั้งแต่การประดับกระจกที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ไปจนถึงศิลปะการต่อไม้ งานปักผ้า และงานลงรักปิดทอง ทุกองค์ประกอบล้วนถ่ายทอดความมุ่งมั่นของคาร์เทียร์ในการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมผ่านมุมมองแบบร่วมสมัย บูติคแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงสถานที่จัดแสดงเครื่องประดับ แต่เสมือนแกลเลอรี่มีชีวิต ที่หลอมรวมศิลปะ จินตนาการ และความประณีตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดบูติคแฟลกชิปแห่งใหม่นี้ คาร์เทียร์ยังนำเสนอวินโดว์ดิสเพลย์สุดเอ็กซ์คลูซีฟทั้งเจ็ดชิ้นจากปารีส ผลงานหกชิ้นแรกออกแบบขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากกรุงปารีสเฉพาะสำหรับบูติคแฟลกชิปของเมซงทั่วโลก และอีกหนึ่งผลงานพิเศษรังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมไทยโดยเฉพาะ ผลงานชิ้นนี้จึงเป็นผลลัพธ์ของการแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งระหว่างสองวัฒนธรรมผ่านการออกแบบร่วมสมัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ที่เมซงภาคภูมิใจ
และสำหรับโอกาสพิเศษนี้ คาร์เทียร์ยังนำเสนอคอลเลคชั่นคาร์เทียร์ลิบร์ (Cartier Libre) สุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง ทุตตี้ทุตตี้ (Tuttitutti) ซึ่งสะท้อนนิยามแห่งความกล้าในการสร้างสรรค์ ผ่านรูปทรงเหนือความคาดหมาย เส้นสายอันอ่อนช้อย สีสันอันสดใส และผิวสัมผัสอันน่าหลงใหล คอลเลคชั่นลิมิเต็ดนี้จัดแสดงเฉพาะที่บูติคแฟลกชิปสาขาสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 19 กันยายน 2568 โดยถือเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นสุดพิเศษที่นำเสนอเฉพาะที่บูติคสำคัญระดับโลกเท่านั้น
บูติคแฟลกชิปแห่งใหม่ของคาร์เทียร์ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ขอเชิญชวนทุกคนให้เข้ามาสัมผัสสวรรค์ในแบบฉบับของเมซง ที่ซึ่งศิลปะ จินตนาการ และวัฒนธรรม หลอมรวมกันอย่างงดงามเหนือกาลเวลา
