สธ.ส่งโมบายคลินิกดูแลหญิงตั้งครรภ์ วางระบบส่งต่อฉุกเฉินรับมือสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรการช่วยเหลือเชิงรุก ส่งรถโมบายคลินิกฝากครรภ์เคลื่อนที่เข้าปฏิบัติการในศูนย์พักพิงชั่วคราว จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชูระบบ คัดกรองความเสี่ยงตามมาตรฐานสากล พร้อมแผนส่งต่อฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลหญิงตั้งครรภ์

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงดูแลผู้อพยพ ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จึงได้ลงพื้นที่พร้อมทีมปฏิบัติการสนับสนุน เพื่อติดตามความพร้อมของระบบสาธารณสุขและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยภารกิจสำคัญคือการสร้างมั่นใจแก่ประชาชนในศูนย์พักพิงให้ได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและปลอดภัย โดยเฉพาะระบบการส่งต่อผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ขัดแย้งให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงสั่งการในการเตรียมความเรื่องบุคลากรและทรัพยากร สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งขอชื่นชมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคนที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังในสภาวะวิกฤตครั้งนี้

ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมอนามัยได้มี แนวทางการดำเนินงานเชิงรุก โดยมอบหมายให้ศูนย์อนามัย ที่ 7 ขอนแก่น เข้ามาทำงานร่วมกับศูนย์อนามัย  ที่ 10 อุบลราชธานี ด้วยการส่งทีมปฏิบัติการสนับสนุนและรถโมบายคลินิกฝากครรภ์เคลื่อนที่ สามารถรตรวจครรภ์และบริการสาธารณสุขพื้นฐานได้ถึงในพื้นที่พักพิง ไม่ต้องเดินทางไกล ลดความเสี่ยงในการรับอันตรายจากภายนอก เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันให้กับกลุ่มแม่และเด็กที่มายังศูนย์พักพิงช่วงสถานการณ์ที่ยังมีความวิตกกังวล ซึ่งกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กคือกลุ่มที่เปราะบางที่สุด จึงได้นำแนวทางคัดกรองสุขภาพตามระบบ Triage มาใช้เพื่อแบ่งระดับความเสี่ยง หากพบหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือเด็กที่มีอาการเจ็บป่วย เราจะมีระบบส่งต่อฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลทันทีเพื่อลดความเสี่ยงและการสูญเสีย ซึ่งขณะนี้มีหญิงตั้งครรภ์เข้ารับบริการแล้วจำนวน 5 ราย โดยทีมแพทย์จะยังคงเฝ้าระวังและให้บริการต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อสร้างความมั่นใจในด้านสุขภาพและความปลอดภัยแก่ประชาชน

ที่มา: กรมอนามัย