ผลสำรวจโบลท์ (Bolt) – Kantar ชี้ “งานแพลตฟอร์ม” เสริมความมั่นคงทางการเงิน พัฒนาทักษะ และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ขับขี่ชาวไทย

93% ของผู้ขับขี่ระบุว่างานแพลตฟอร์มช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินให้ครอบครัว ขณะที่เกือบหนึ่งในสามมีรายได้สูงสุดถึง 40,000 บาทต่อเดือน

จากผลสำรวจครั้งแรกเกี่ยวกับทัศนคติของสาธารณชนต่อ “งานแพลตฟอร์ม” โดย Kantar Insight Thailand ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโบลท์ (Bolt) ล่าสุดได้มีการเปิดเผย ผลสำรวจระลอกที่สองในระดับประเทศ 

ซึ่งชี้ให้เห็นว่า “งานแพลตฟอร์ม” ไม่เพียงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงิน พัฒนาทักษะ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้ขับขี่ชาวไทยจำนวนมากทั่วประเทศ

จากข้อมูลการสำรวจ พบว่า 93% ของผู้ขับขี่ระบุว่างานแพลตฟอร์มช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ครอบครัว และเปิดโอกาสให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายในชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ

  • 44% ซื้อรถจักรยานยนต์
  • 43% ซื้อรถยนต์
  • 30% ใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว

ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ทำงานเฉลี่ย 21-30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยประมาณ 29% มีรายได้ระหว่าง 20,001-40,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าแรงเฉลี่ยของประเทศไทยในไตรมาส 4 ปี 2567 (15,738 บาท) ถึงราว 154% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างรายได้และความยืดหยุ่นที่ “งานแพลตฟอร์ม” มอบให้

“งานแพลตฟอร์มไม่ใช่เพียง ‘อาชีพ’ แต่มันคือเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมีอิสรภาพทางการเงินและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองได้” นายณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการทั่วไปประจำโบลท์ ประเทศไทย กล่าว “ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ขับขี่กำลังสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับตนเองและครอบครัว ผ่านการทำงานที่อิสระ ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความมุ่งมั่นของพวกเขา”

จากผลสำรวจครั้งก่อนของโบลท์และ Kantar พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากสังคม ซึ่งเป็นการท้าทายภาพจำเดิม ๆ ว่า “งานแพลตฟอร์มเป็นงานสำหรับคนรุ่นใหม่หรือคนที่ไม่มีทักษะ” ผลสำรวจล่าสุดยังตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยแสดงให้เห็นว่าผู้ขับขี่ไม่เพียงเห็นคุณค่าของความยืดหยุ่น แต่ยังได้รับพลังทั้งในเชิงอาชีพและการเงินด้วย 

ผู้ขับขี่ให้เหตุผลตรงกันว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาเลือกทำงานบนแพลตฟอร์ม คือ “ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต”

  • 99% ระบุว่างานแพลตฟอร์มช่วยให้จัดการชีวิตส่วนตัวและครอบครัวได้ดีขึ้น
  • 88% บอกว่ามีอิสระเต็มที่ในการกำหนดตารางเวลาทำงานของตนเองความสามารถในการ “เป็นเจ้านายของตัวเอง” และสร้างรายได้ตามเงื่อนไขของตัวเอง ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้คนเลือกทำงานรูปแบบนี้

ความสามารถในการ “เป็นเจ้านายของตัวเอง” และสร้างรายได้ตามเงื่อนไขของตัวเอง ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้คนเลือกทำงานรูปแบบนี้

นอกจากรายได้แล้ว ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า “งานแพลตฟอร์ม” เป็นแหล่งพัฒนาทักษะอาชีพที่สำคัญ

  • 63% ของผู้ขับขี่ระบุว่ามีทักษะด้านการบริหารเวลาและการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น
  • 53% ได้รับทักษะใหม่ ๆ ด้านดิจิทัลและการสื่อสาร
  • เกือบครึ่งรายงานว่าทักษะการนำทาง การจัดการโลจิสติกส์ และความรู้ทางการเงินของตนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น 

“ผู้ขับขี่ในวันนี้คือผู้ประกอบการยุคดิจิทัล” นายณัฐดนย์ กล่าวเสริม “พวกเขากำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงที่สามารถต่อยอดเป็นทักษะอาชีพที่หลากหลาย ตั้งแต่การบริหารเวลาและงบประมาณ ไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า”

การเปิดเผยผลสำรวจในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังก้าวหน้าภายใต้นโยบาย เศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform Economy) ซึ่งนำโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ทั้งสองหน่วยงานมีบทบาทสำคัญในการผลักดันระบบนิเวศดิจิทัลที่เปิดกว้าง ส่งเสริมนวัตกรรม และสนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นธรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กำหนดเป้าหมายระดับชาติเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เสริมสร้างทักษะความเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy) และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงในเศรษฐกิจดิจิทัล ขณะเดียวกัน สพธอ. รับผิดชอบในการดำเนินงานตาม พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำกับดูแลบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล พ.ศ. 2565 ซึ่งมุ่งยกระดับความโปร่งใส การคุ้มครองผู้ใช้ และการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม

“งานบนแพลตฟอร์มได้กลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย” นายณัฐดนย์ กล่าว “เมื่อทิศทางนโยบายแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทยพัฒนาไปข้างหน้า กฎระเบียบควรมุ่งเน้นการสร้างพลังให้แรงงานกลุ่มนี้ ด้วยการสนับสนุนนวัตกรรม ความยืดหยุ่น และคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยหลายแสนคนที่เลือกทำอาชีพนี้”

ในบริบทนี้ ผลสำรวจของ Kantar ถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า ซึ่งจะช่วยสนับสนุน การกำหนดนโยบายโดยอ้างอิงข้อมูลจริง (Evidence-Based Policymaking) เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้าใจถึงบทบาทของ “งานแพลตฟอร์ม” ต่อการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทักษะ และความมั่นคงของครัวเรือนไทยทั่วประเทศ

ที่มา: Trailblaze PR