เช็คลิสต์ที่คนใช้รถต้องรู้ ก่อนเดินทางไกล

ในช่วงวันหยุดยาว หรือเทศกาลสำคัญ การเดินทางไกลด้วยรถยนต์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม  ในทุกปีเรายังพบข่าวรถเสียกลางทาง หรืออุบัติเหตุที่มีสาเหตุจาก “รถไม่พร้อมใช้งาน” อยู่เสมอ

ข้อมูลจากนายชวิศ ยงเห็นเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชลิต อินดัสทรี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์มาตรฐานสากลฝีมือคนไทย ภายใต้แบรนด์ “POP” ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากกว่า 30 ปี ระบุว่า หากมองในภาพรวมปัญหารถเสียระหว่างทางไกลมักไม่ใช่เรื่องเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน  แต่เป็นผลจาก “ความเสื่อมสะสม” ที่ถูกมองข้ามมาเป็นเวลานาน 

ตัวอย่างเช่น ระบบระบายความร้อนที่เริ่มทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ที่แรงดันไฟเริ่มตก หรือยางที่มีสภาพไม่สม่ำเสมอ เมื่อรถต้องทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ความบกพร่องเล็กน้อยเหล่านี้จะถูกขยายผลอย่างรวดเร็ว กล่าวง่าย ๆ คือ รถเสียเพราะไม่ได้ถูกเตรียมให้พร้อมสำหรับภาระการใช้งานแบบเดินทางไกล

ทั้งนี้ ปัญหารถเสียระหว่างทางไม่ได้สะท้อนเพียงพฤติกรรมของผู้ใช้รถเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างการใช้งานจริงกับการบำรุงรักษาเชิงระบบ รถส่วนใหญ่มักถูกใช้งานในเมืองระยะสั้น เมื่อถึงเวลาต้องเดินทางไกล รถจะต้องทำงานหนักและต่อเนื่องยาวนาน ความเสื่อมที่สะสมไว้จึงแสดงผลออกมาในช่วงเวลานั้น

ดังนั้นมีคำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการดูแลรถ “เช็คลิสต์ที่คนใช้รถต้องรู้ ก่อนเดินทางไกล” ได้แก่

  • ตรวจความพร้อม 4 ระบบหลัก ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

ก่อนเดินทางไกลผู้ใช้รถควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของรถอย่างรอบด้าน การตรวจเช็คไม่ควรจำกัดเพียงบางรายการ แต่ควรประเมินความพร้อมของระบบหลักทั้งคัน ซึ่งประกอบด้วย 4 ระบบสำคัญ การตรวจเช็กระบบเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจะช่วยลดความเสี่ยงระหว่างการเดินทางได้อย่างชัดเจน ได้แก่

  1. ระบบที่ทำให้รถ “ไปได้” เช่น เครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง และของเหลวต่าง ๆ
  2. ระบบที่ทำให้รถ “หยุดได้” เช่น ระบบเบรก ผ้าเบรก และน้ำมันเบรก
  3. ระบบที่ทำให้รถ “ทรงตัวได้” เช่น ยาง ลมยาง และช่วงล่าง
  4. ระบบที่ทำให้รถ “สื่อสารได้” เช่น ระบบไฟส่องสว่าง ไฟเตือน และที่ปัดน้ำฝน
  • อะไหล่ที่ใกล้หมดอายุควรเปลี่ยนก่อนเดินทางไกล อย่ารอให้ “หมดอายุการใช้งาน” บนถนน

อะไหล่ หรือชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งานตามเวลา ควรเปลี่ยนล่วงหน้าก่อนเดินทางไกล เช่น ยาง สายพาน แบตเตอรี่ หรือผ้าเบรก หากอยู่ในช่วงใกล้ครบอายุการใช้งาน ควรตัดสินใจเปลี่ยนก่อนเดินทาง แม้ยัง “พอใช้งานได้” เพราะต้นทุนของการเปลี่ยนก่อนเดินทาง ต่ำกว่าต้นทุนความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ ความเสียหายที่อาจลุกลาม ผลกระทบต่อชีวิต และค่าเสียเวลา เมื่อต้องจอดเสียกลางทางอย่างเทียบไม่ได้ หลักคิดสำคัญคือ อย่ารอให้อะไหล่ “หมดอายุการใช้งาน” บนถนน

  • รถอายุเกิน 5 ปี หรือระยะทางเกิน 100,000 กิโลเมตร ควรตรวจเช็กเชิงลึก

สำหรับรถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี หรือมีระยะทางเกิน 100,000 กิโลเมตร ควรได้รับการตรวจเช็กเชิงลึกในจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น ระบบยางและท่อในห้องเครื่อง ระบบระบายความร้อนทั้งชุด ระบบช่วงล่างและบุชยาง รวมถึงระบบไฟและเซนเซอร์เตือนต่าง ๆ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มักเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางเพียงอย่างเดียว

  • หากเกิดเหตุฉุกเฉินกลางทาง สิ่งที่ผู้ใช้ต้องรู้

สิ่งที่ควรทำ ได้แก่ จอดรถในจุดที่ปลอดภัย เปิดไฟฉุกเฉิน ดับเครื่องยนต์ ประเมินอาการจากสัญญาณเตือน และติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือศูนย์บริการก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ

สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ ไม่ควรฝืนขับต่อเมื่อมีไฟเตือนรุนแรง ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องยนต์ร้อน และไม่ควรซ่อมแซมเฉพาะหน้า โดยไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริง

  • เลือกใช้อะไหล่คุณภาพสูง ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

อะไหล่ไม่ใช่เพียงชิ้นส่วนทดแทน แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยโดยตรง อะไหล่คุณภาพไม่ได้วัดจากราคา หรือรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือความสามารถในการทำงานได้อย่างสม่ำเสมอภายใต้สภาวะกดดัน การเดินทางไกลถือเป็นบททดสอบที่แท้จริงของอะไหล่ เนื่องจากรถต้องทำงานหนักต่อเนื่อง อะไหล่คุณภาพต่ำอาจใช้งานได้ดีในเมือง แต่อาจไม่ทนต่อความร้อน ความเร็ว และระยะเวลา ซึ่งท้ายที่สุดจะสะท้อนออกมาเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

นายชวิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจทำให้ความเสียหายลุกลามจากเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ใช้รถต้องยึดสัญญาณเตือนของรถเป็นหลัก ไม่ฝืนใช้งาน และไม่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยขาดข้อมูล เนื่องจากความเสียหายรุนแรงส่วนใหญ่มักเกิดจากการ “ฝืนใช้งานต่อ” ทั้งที่ระบบแจ้งเตือนแล้ว

“อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องของรถเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของระบบทั้งหมด ตั้งแต่การเตรียมรถ การเลือกใช้อะไหล่ การวางแผนการเดินทาง ไปจนถึงสภาพร่างกายของผู้ขับขี่ ดังนั้น นอกจากการเตรียมรถแล้ว ผมอยากเน้นเรื่อง การเตรียมความพร้อมของผู้ขับขี่ด้วย พักผ่อนให้เพียงพอ วางแผนเส้นทางและเวลาพัก ไม่ฝืนขับเมื่อร่างกายไม่พร้อม เพราะรถที่พร้อม แต่คนไม่พร้อม ก็ยังไม่ปลอดภัย ผมเชื่อว่า ‘การเดินทางที่ดี’ คือการเดินทางที่ทุกคนถึงบ้านอย่างปลอดภัย ไม่ใช่แค่ถึงเร็วที่สุดครับ”

 

ที่มา: Communication & More