ไส้กรอง HEPA คืออะไร? สำคัญแค่ไหนกับเครื่องฟอกอากาศ

ไส้กรอง HEPA คืออะไร?

ไส้กรอง HEPA หรือ High Efficiency Particulate Air เป็นไส้กรองประสิทธิภาพสูงที่ถูกออกแบบมาให้ดักจับอนุภาคขนาดเล็กมาก ๆ ในอากาศ เช่น ฝุ่นละอองระดับ PM 2.5 เกสรดอกไม้ สปอร์เชื้อรา เศษผิวหนังสัตว์ รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ จุดเด่นสำคัญของ HEPA คือสามารถกรองอนุภาคที่มีขนาดเล็กเพียง 0.3 ไมครอนได้อย่างน้อย 99.97% ตามมาตรฐานสากล ทำให้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมคุณภาพอากาศ ตั้งแต่โรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการ จนถึงเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ในบ้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก venz.co.th

โครงสร้างและหลักการของไส้กรอง HEPA

ไส้กรอง HEPA ใช้แผ่นใยละเอียดที่ถูกอัดซ้อนกันหลายชั้น ทำให้เกิดเส้นใยที่ซับซ้อนสะท้อนชนิดของมลพิษแต่ละประเภท อนุภาคขนาดใหญ่จะติดอยู่บนเส้นใยโดยตรง อนุภาคขนาดกลางจะถูกดักจับเพราะเส้นทางอากาศโค้งงอ ส่วนอนุภาคขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 จะเคลื่อนที่แบบสุ่มและชนกับเส้นใยจนถูกดักไว้ แม้ว่ากระบวนการจะดูซับซ้อน แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีในทุกครั้งที่อากาศไหลผ่านเครื่องฟอกอากาศ

ทำไมไส้กรอง HEPA ถึงสำคัญ

 ในสภาพแวดล้อมเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยควันรถ ฝุ่นก่อสร้าง และมลพิษจากโรงงาน ไส้กรอง HEPA คือด่านสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ อนุภาคขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ ทำให้เกิดการระคายเคือง ภูมิแพ้ หรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ คนที่มีอาการภูมิแพ้ หอบหืด เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุจึงควรใช้อุปกรณ์ที่มี HEPA คุณภาพสูงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน

HEPA กับ PM 2.5 ต่างกันอย่างไร และเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

ฝุ่น PM 2.5 คือฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไส้กรอง HEPA ถูกออกแบบให้ฟิลเตอร์อนุภาคที่เล็กกว่า PM 2.5 ด้วยซ้ำ เช่น 0.3 ไมครอน ทำให้สามารถดักจับฝุ่นชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เครื่องฟอกอากาศที่ใช้ HEPA จึงถือเป็นตัวเลือกมาตรฐานสำหรับการรับมือกับ PM 2.5

ประเภทของไส้กรอง HEPA ที่ควรรู้ก่อนซื้อ

แม้ชื่อจะใกล้เคียงกัน แต่ไม่ใช่ HEPA ทุกตัวจะมีคุณภาพเท่ากัน ไส้กรองที่เป็น “True HEPA” คือแบบที่ผ่านมาตรฐานการกรองที่เข้มงวดจริง ๆ และเป็นประเภทที่ควรเลือก เพราะสามารถดักจับอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนที่ความแม่นยำระดับ 99.97% ต่างจาก “HEPA-like” หรือ “HEPA-style” ซึ่งเป็นคำตลาด ไม่มีการรับรอง และมักฟอกอากาศได้ไม่ดีเท่า

ไส้กรอง HEPA ต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่?

ประสิทธิภาพของ HEPA จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแล้วควรเปลี่ยนทุก 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ถ้าอยู่ใกล้ถนนใหญ่ เลี้ยงสัตว์ หรือมีฝุ่น PM 2.5 สูง การเปลี่ยนไส้กรองเร็วกว่าปกติจะช่วยคงคุณภาพอากาศให้ดีที่สุด เครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นจะมีไฟเตือนเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนซึ่งช่วยให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

วิธีเลือกไส้กรอง HEPA ให้เหมาะกับการใช้งานในบ้าน

การเลือก HEPA ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพฟิลเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่ที่ต้องการฟอกอากาศด้วย ควรเลือกเครื่องที่มีค่าการไหลเวียนอากาศหรือ CADR เหมาะสมกับห้อง หากใช้ในพื้นที่ใหญ่เกินกำลังของเครื่อง อากาศก็จะไม่สะอาดเท่าที่ควร นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่ารุ่นนั้นมีฟิลเตอร์ทดแทนที่หาได้ง่าย มีราคาไม่สูงเกินไป และยี่ห้อมีความน่าเชื่อถือ

ไส้กรอง HEPA เหมาะกับใครบ้าง?

ทุกคนสามารถใช้ HEPA เพื่อปรับคุณภาพอากาศในบ้านได้ แต่กลุ่มที่เห็นผลชัดที่สุดคือคนที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนที่อยู่ในเมืองใหญ่หรือพื้นที่เสี่ยงมลพิษ เครื่องฟอกอากาศที่มี HEPA จะช่วยลดอาการจาม คัดจมูก ระคายเคืองตา และความเสี่ยงด้านสุขภาพในระยะยาว

สรุป

ไส้กรอง HEPA คือหัวใจหลักของการฟอกอากาศที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะต้องรับมือกับฝุ่น PM 2.5 สารก่อภูมิแพ้ หรือมลพิษในบ้าน การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ระบบกรองเป็น True HEPA และเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด จะช่วยให้คุณและครอบครัวปลอดภัยและหายใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้นทุกวัน

ที่มา: Venz