ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในหลายพื้นที่ ทำให้หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศภายในบ้านมากขึ้น หนึ่งในอุปกรณ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากฝุ่นขนาดเล็กที่เป็นอันตราย คือเครื่องฟอกอากาศที่รองรับการกรอง PM 2.5 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้สภาพแวดล้อมภายในบ้านสะอาดและปลอดภัยขึ้น

PM 2.5 คืออะไร?
PM 2.5 คืออนุภาคฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน สามารถเข้าสู่ปอดและระบบเลือดได้ง่าย ส่งผลต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจำตัว และผู้ที่เป็นภูมิแพ้
เครื่องฟอกอากาศ PM 2.5 ทำงานอย่างไร?
เครื่องฟอกอากาศแบบกรอง PM 2.5 จะใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น
- แผ่นกรอง HEPA สำหรับจับอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก
- แผ่นกรองคาร์บอนเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
- แผ่นกรองหยาบสำหรับดักฝุ่นใหญ่ ขนสัตว์ และเส้นผม
ด้วยระบบกรองเหล่านี้ อากาศภายในห้องจะสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อดีของการใช้เครื่องฟอกอากาศ
- ช่วยลดฝุ่นและมลพิษในอากาศ
- ลดอาการแพ้ ไอ ระคายคอ หายใจลำบาก
- เหมาะสำหรับบ้านที่เลี้ยงสัตว์
- ลดกลิ่นควัน กลิ่นอาหาร และกลิ่นอับ
- ช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้น
วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับบ้าน
1. ขนาดพื้นที่ห้อง
เลือกเครื่องที่รองรับพื้นที่ใช้งานจริง เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องนั่งเล่น
2. เลือกแผ่นกรอง HEPA ระดับ H13 ขึ้นไป
เพื่อประสิทธิภาพในการกรอง PM 2.5 ที่สูงที่สุด
3. ระดับเสียง
เครื่องควรมีโหมดเงียบสำหรับใช้งานตอนกลางคืน
4. ความคุ้มค่าระยะยาว
ตรวจสอบราคาไส้กรอง การเปลี่ยนและอายุการใช้งาน
เหมาะกับใครบ้าง?
- คนที่อยู่ในเมืองหรือพื้นที่ค่าฝุ่นสูง
- ผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรือไวต่อฝุ่น
- ครอบครัวที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุ
- บ้านที่เลี้ยงสัตว์
- ผู้ที่ต้องอยู่ในห้องปิดนาน ๆ เช่น คอนโดหรือออฟฟิศ
สรุป
เครื่องฟอกอากาศ PM 2.5 เป็นไอเทมที่ช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในบ้าน ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ และทำให้สภาพแวดล้อมน่าอยู่มากขึ้น เหมาะสำหรับทุกบ้านในยุคที่คุณภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
