ศิลปากร แถลงข่าวโครงการวิจัย “จักรวาลแห่งนาค” เปิดมิติใหม่ของการบูรณาการข้ามศาสตร์สู่การสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจทางวัฒนธรรมร่วมของภูมิภาคอุษาคเนย์

มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดงานแถลงข่าวโครงการวิจัยชุด “จักรวาลแห่งนาค : คติความเชื่อเรื่องนาคจากอินเดียสู่อุษาคเนย์ภาคพื้นทวีป” เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ อาคารรับรองเรือนกระจก ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ภายใต้แผนงาน “การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนผลกระทบจากงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์” ของมหาวิทยาลัยศิลปากร

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรพร ภู่พงศ์พันธ์ คณะอักษรศาสตร์ เป็นหัวหน้าโครงการ พร้อมทีมคณาจารย์และนักวิจัยจากคณะอักษรศาสตร์ คณะโบราณคดี และคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โครงการวิจัยนี้ ได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานบริหารการวิจัย นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ (สวนส.) มหาวิทยาลัยศิลปากร ประจำปีงบประมาณ 2569 เพื่อมุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในระดับชาติและระดับภูมิภาค เพื่อนำไปสู่การต่อยอดเชิงสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม

การแถลงข่าวครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ประสพชัย พสุนนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนการวิจัยที่บูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางสังคมและสื่อสร้างสรรค์ที่นำไปใช้ได้จริง และสามารถต่อยอดต่อไปสู่การเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ “Creative economy” ในอนาคตได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรพร ภู่พงศ์พันธ์ กล่าวรายงานว่า โครงการ “จักรวาลแห่งนาค” เป็นการศึกษาความเชื่อเรื่อง “นาค” ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานที่ปรากฏอยู่ในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากคติความเชื่อในอินเดีย และแพร่กระจายสู่วัฒนธรรมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ไทย ลาว และเวียดนาม ผ่านศาสนา ศิลปกรรม และประเพณีท้องถิ่น การศึกษาครั้งนี้มุ่งศึกษาเพื่อทำความเข้าใจทั้งในมิติวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศาสนา คติชน ภาษา วรรณคดี และศิลปกรรม เพื่ออธิบายระบบความเชื่อที่เกี่ยวกับนาคอย่างเป็นองค์รวม

งานวิจัยดังกล่าวเป็นตัวอย่างของ “การบูรณาการข้ามศาสตร์” ที่รวมองค์ความรู้จากหลากหลายสาขาเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ต่าง ๆ อาทิ โบราณคดี วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาษาศาสตร์ และคติชนวิทยา เป็นต้น เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบในระดับภูมิภาคให้เห็นความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขงและภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคติความเชื่อเรื่อง “นาค” เป็นรากฐานร่วมของอัตลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมที่สะท้อนทั้งความหลากหลายและความเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาค

การเสวนาภายในงานภายใต้หัวข้อ “จักรวาลแห่งนาค : คติความเชื่อเรื่อง ‘นาค’ จากแดนภารตะสู่อุษาคเนย์” นำโดย  ศาสตราจารย์ ดร. สําเนียง เลื่อมใส ภาคีสมาชิก สาขาวิชาตันติภาษา ราชบัณฑิตยสภา และคณะนักวิจัยของโครงการ ได้แก่ อาจารย์ ดร.ยิ่งยศ บุญจันทร์ คณะอักษรศาสตร์ , อาจารย์ ดร.นิพัทธ์ แย้มเดช คณะโบราณคดี , อาจารย์ สิริชัย ร้อยเที่ยง คณะมัณฑนศิลป์ และอาจารย์ จิตรนันท์ กลิ่นน้อย คณะอักษรศาสตร์  ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประเด็นการศึกษาที่ครอบคลุมทั้งด้านวรรณกรรม ตำนาน ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับนาคในแต่ละประเทศ

ในช่วงท้ายของงาน มีการเสวนาพิเศษหัวข้อ “การต่อยอดองค์ความรู้สู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบายและการพัฒนาสื่อสร้างสรรค์” โดย ดร.มหัทธนะ พฤทธิรัชชูวงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายอาวุโส สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ คุณอัครพงษ์ นครแก้ว กรรมการผู้จัดการ บริษัท นครา สตูดิโอ จำกัด ผู้แทนจากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีคุณจตุธรรม แซ่ลี้ นักศึกษาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งสะท้อนแนวทางการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ – สังคมศาสตร์ ไปสู่การสร้างขับเคลื่อนเชิงนโยบายในภาคการศึกษาและสร้างสรรค์นวัตกรรมสื่อในอนาคต

โครงการ “จักรวาลแห่งนาค” จึงไม่เพียงเป็นงานศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับตำนานและคติความเชื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้าง “พื้นที่กลางของความเข้าใจร่วมทางวัฒนธรรม” และเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างสื่อและองค์ความรู้ใหม่ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ โดยในระยะต่อไป โครงการมีเป้าหมายในการต่อยอดองค์ความรู้สู่การผลิตสื่อ และกิจกรรมสร้างสรรค์รูปแบบต่าง ๆ อาทิ สื่อดิจิทัล สารคดีเชิงวัฒนธรรม นิทรรศการเดินทาง สื่อมัลติมีเดียเชิงปฏิสัมพันธ์ รวมถึงสื่อเพื่อการศึกษา เพื่อให้ “จักรวาลแห่งนาค” กลายเป็นคลังความหมายร่วมที่ทุกคนสามารถเข้าถึง เรียนรู้ และนำไปใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างยั่งยืน

ที่มา: โฟร์พีแอดส์ (96)