นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา (สนศ.) กทม. กล่าวถึงมาตรการเฝ้าระวังภัยยาเสพติดในสถานศึกษาและการป้องกันการใช้และการขายพืชกระท่อม หรืออาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบในสถานที่ หรือสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสถานศึกษาสังกัด กทม. และบริเวณโดยรอบว่า สนศ. ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานเขต สำนักป้องกันและบำบัดการติดยาเสพติด สำนักอนามัย (สนอ.) และหน่วยงานภายนอก เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้เกี่ยวกับโทษ พิษภัย และผลกระทบของยาเสพติดทุกชนิด รวมถึงน้ำกระท่อม กัญชา และกัญชงให้แก่นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครอง โดยโรงเรียนในสังกัด กทม. ได้จัดกิจกรรมลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ชุมชน และผู้ประกอบการร้านค้ารอบโรงเรียน พร้อมประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้งดจำหน่ายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใบกระท่อม เพื่อป้องกันอันตรายและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับนักเรียน รวมถึงติดตามดูแลพฤติกรรมนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ป้องกันไม่ให้นักเรียนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และวางแผนรับมือปัญหาอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ สนศ. ได้ส่งเสริมให้โรงเรียนในสังกัด กทม. ดำเนินโครงการและกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ภายใต้มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 5 มาตรการ ได้แก่ การเฝ้าระวังการใช้ยาและสารเสพติด การป้องกันการใช้ยาและสารเสพติด การบำบัดรักษาผู้ติดยาและสารเสพติด การบังคับใช้กฎหมาย การบริหารจัดการ พร้อมทั้งเน้นให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ “ปลอดยาเสพติดและใบกระท่อม” โดยจัดแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ห้ามจำหน่าย หรือโฆษณาอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีใบกระท่อมเป็นส่วนผสมภายในโรงเรียนสังกัด กทม. รวมถึงจัดกิจกรรมให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพิษภัยของใบกระท่อมแก่ผู้ปกครองและชุมชนใกล้เคียง
ทั้งนี้ สนศ. ได้ส่งเสริมโครงการ TO BE NUMBER ONE ในโรงเรียนสังกัด กทม. ทั้ง 437 โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้แสดงออกตามความสามารถและความถนัดของตน ภายใต้แนวคิด “เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” ซึ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เยาวชนห่างไกลจากยาเสพติดและสิ่งเสพติดทุกชนิด จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ ทักษะอาชีพ ร้องเพลง การเป็นมัคคุเทศก์ หรือการเป็นจิตอาสา ขณะเดียวกัน ยังร่วมกับสำนักงานเขตลงพื้นที่ดูแลนักเรียนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอำนวยความสะดวกและเฝ้าระวังบริเวณหน้าโรงเรียนในช่วงเวลาเช้าและเย็น เพื่อสร้างความปลอดภัยในทุกมิติ รวมทั้งร่วมมือกับสำนักป้องกันและบำบัดการติดยาเสพติด สนอ. ขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในโรงเรียนสังกัด กทม. อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนและชุมชน เพื่อให้เยาวชนมีภูมิคุ้มกันตนเองและห่างไกลยา หรือสารเสพติดทุกชนิด
นายปิยะ พูดคล่อง ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ (สนท.) กทม. กล่าวถึงการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะในชุมชน สถานศึกษา และสถานประกอบการว่า ตามประกาศกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดสถานที่ วิธีการ หรือลักษณะต้องห้ามในการขายใบกระท่อม พ.ศ. 2568 มีสาระสำคัญคือ (1) ห้ามขายใบกระท่อม หรือน้ำต้มใบกระท่อมในสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในระยะ 1,000 เมตร (1 กิโลเมตร) จากสถานศึกษาทุกแห่ง (2) ห้ามขายในลักษณะการเร่ขาย เช่น หาบเร่ รถเข็น รถยนต์เร่ขาย หรือการตั้งแผงลอยในที่ หรือทางสาธารณะ และ (3) ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่ง กทม. ได้กำหนดแนวทางดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้เป็นไปตามประกาศดังกล่าว ดังนี้ การจำหน่ายใบกระท่อม หรือน้ำต้มใบกระท่อมในลักษณะการเร่ขาย เช่น หาบเร่ รถเข็น รถยนต์เร่ขาย หรือการตั้งแผงลอยในที่ หรือทางสาธารณะ เป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กทม. โดยผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราโทษตามประกาศกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขมีอัตราโทษสูงกว่า (ไม่เกิน 50,000 บาท) กทม. จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เทศกิจดำเนินการกล่าวโทษตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามประกาศฯ ต่อไป โดย สนท. และสำนักงานเขตมีการตรวจพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ กทม. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล สถานีตำรวจนครบาลท้องที่ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันออกตรวจและบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ โดยได้แจ้งแนวทางให้เจ้าหน้าที่เทศกิจของ สนท. และฝ่ายเทศกิจของสำนักงานเขตออกตรวจบริเวณสถานศึกษาและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้มีการขาย หรือจำหน่ายใบกระท่อม หรือน้ำต้มใบกระท่อม หากพบการฝ่าฝืนจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ โรงเรียนสังกัด กทม. สามารถดำเนินการได้ในทันที เนื่องจากมีโครงการ “เทศกิจอาสาจราจร” ที่ออกปฏิบัติหน้าที่หน้าโรงเรียนเป็นประจำทุกวันที่มีการเรียนการสอน