ttb analytics ประเมินรายได้เกษตรกร 5 พืชหลักปี 2568 มีแนวโน้มหดตัวหนักจากปัญหาอุปทานส่วนเกินกดดันราคาผลผลิตตกต่ำ และคาดปี 2569 ยังเผชิญแรงกดดันด้านราคาต่อเนื่อง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์ปี 2568 รายได้เกษตรกร 5 พืชหลักลดลงราว 16% ที่รายได้รวมกว่า 8.1 แสนล้านบาท จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรมีทิศทางเพิ่มขึ้น เกิดปัญหาอุปทานส่วนเกิน กดดันราคาสินค้าให้ตกต่ำ ในขณะที่แนวโน้มการระบายอุปทานส่วนเกินผ่านการส่งออกยังมองไม่เห็นสัญญาณบวก และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวถึงปี 2569 แนะภาครัฐเร่งจัดการปัญหาผลผลิตส่วนเกิน ทั้งในฝั่งอุปสงค์สำหรับเร่งหาช่องทางส่งออกสินค้าในพื้นที่ตลาดใหม่ๆ  และฝั่งอุปทานในแง่การปรับปรุงทบทวนนโยบายให้มีความเหมาะสมและรัดกุมมากขึ้นควบคู่กันไป

ตามข้อมูลของสภาพัฒนาเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2567 เศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยมีมูลค่าราว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 8.7% ของขนาดเศรษฐกิจรวมทั้งประเทศ แต่เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญเชิงระบบของภาคเศรฐกิจไทยกลับพบว่ามีความสำคัญอย่างมากในมิติของแหล่งงานให้กับคนกว่า 11.5 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.9% ของจำนวนแรงงานทั่วประเทศ รวมถึงมิติการกระจายรายได้ทำให้แรงงานภาคเกษตรไม่กระจุกตัวในบางพื้นที่เหมือนกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรม โดยในมิติเชิงลึกของเศรษฐกิจภาคเกษตรเมื่อพิจารณาในกลุ่ม 5 พืชหลักซึ่งสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยในปี 2567 สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 9.7 แสนล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2566 ราว 12.1% จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยให้ปริมาณผลผลิตการเกษตรที่ออกมามีแนวโน้มสูงมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี ในขณะที่ฝั่งราคาผลผลิตยังได้รับอานิสงส์จากราคาพืชเกษตรที่ยังทรงตัวในระดับที่สูงต่อเนื่องจากปี 2566 ทั้งในส่วนของข้าวที่ราคาใกล้เคียงกับปีก่อน(-0.6%) ในขณะที่ยางพารา อ้อย และปาล์มน้ำมัน ราคาผลผลิตปรับตัวสูงขึ้นระดับ 54.0%, 31.5% และ 11.4% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี สำหรับสถานการณ์ในปี 2568 รายได้เกษตรกรกลุ่ม 5 พืชเศรษฐกิจหลักนั้นกลับดูไม่สดใส โดยประเมินว่ามีจะแนวโน้มหดตัวราว 16% จากปีก่อน มีรวมรายได้อยู่ที่ 8.1 แสนล้านบาท สาเหตุหลักมาจากผลของราคาในทุกพืชเศรษฐกิจหลักมีทิศทางปรับตัวลงแรงจากช่วงต้นปี เหตุเกิดจากอุปทานส่วนเกินที่กดดันผ่านกลไกราคา ส่งผลให้ราคาผลผลิตพืชเกษตรตกต่ำ ตามสาเหตุของการเกิดอุปทานส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากสาเหตุที่ต่างกันออกไปในพืชแต่ละกลุ่มดังต่อไปนี้

  • ข้าว : อุปทานส่วนเกินจากภาวะส่งออกที่ชะลอตัว เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าบริโภคหลักที่ไม่สามารถเร่งการบริโภคภายในประเทศได้จากข้อจำกัดในการบริโภคเชิงกายภาพที่ไม่ว่าผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อสูงขึ้นเพียงใดก็ตาม ปริมาณการบริโภคย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อุปทานส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคจำเป็นต้องถูกเร่งระบายผ่านการส่งออก แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ส่งออกของไทยกลับได้รับแรงกดดันจากภาวะการส่งออกที่ชะลอตัวต่ำ โดยปี 2568 คาดมูลค่าส่งออกข้าวไทยจะหดตัวแตะระดับ 40% จากปีก่อน คิดเป็นปริมาณส่งออกข้าวที่หายไปกว่า 1.9 ล้านตัน หรือคิดเป็นปริมาณข้าวเปลือกกว่า 2.9 ล้านตัน ดังนั้นจากสถานการณ์ที่อุปทานส่วนเกินไม่สามารถระบายออกกอปรกับการบริโภคในประเทศที่ไม่อาจเพิ่มได้ตามข้อจำกัดการบริโภค ส่งผลให้มีผลผลิตข้าวค้างเป็นสต็อกสูง อีกทั้งเมื่อมีผลผลิตข้าวนาปรังที่เข้ามาช่วงต้นปี 2568 ย่อมทำให้ราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาจะนำมาขายให้โรงสีถูกกดดันให้ราคาลดลงอีก ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 คาดการณ์ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มหดตัวหนักราว 35 – 40% จากปีก่อน ที่ราคาเฉลี่ย 6.7 พันบาทต่อตัน จากปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกที่คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 5.2% จากปีก่อน รวม 34.9 ล้านตัน
  • ปาล์มน้ำมัน : อุปทานส่วนเกินอันเกิดจากนโยบายที่บิดเบือนกลไกตลาด จากในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้เป็นพืชน้ำมันเพื่อลดต้นทุนค่าพลังงาน แต่อย่างไรก็ตามการไม่คำนึงถึงความล่าช้าของอุปทานที่ไม่รัดกุม ส่งผลให้ในช่วงที่มีนโยบายอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ย้อนกลับไปในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มไม่สูง การนำมาผสมเพื่อลดต้นทุนย่อมเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ในปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มสูงกว่าราคาน้ำมันดีเซล ทำให้ต้นทุนค่าพลังงานที่ผสมนั้นสูงกว่าราคาเชื้อเพลิงปกติ กอปรกับภาครัฐมักตรึงราคาดีเซลเพื่อไม่ให้กระทบกับต้นทุนค่าครองชีพทำให้รัฐจำเป็นต้องนำเงินกองทุนไปอุดหนุน และส่งผลให้ช่วงปลายปี 2567 มีการปรับลดสัดส่วนการใช้ B7 ลงเป็น B5 เพื่อลดภาระราคาพลังงาน จึงสร้างแรงกดดันให้ความต้องการปาล์มน้ำมันดิบเพื่อใช้ผลิตเป็นไบโอดีเซลลดลงถึงประมาณ 1.3 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 7% ของผลผลิตทั้งหมด
  • มันสำปะหลัง : อุปทานส่วนเกินที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง โดยปกติแล้วอุปทานมันสำปะหลังของไทยมีไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความต้องการมันสำปะหลังกว่า 47% ของปริมาณผลผลิตหัวมันสำปะหลังทั้งหมดที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมแป้งมัน ทั้งนี้จากโครงสร้างการกระจายสินค้าของแป้งมันสำปะหลังที่กว่าครึ่งพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก แต่บนธรรมชาติของอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันดิบที่ไม่ได้มีความซับซ้อน กอปรกับมันสำปะหลังเป็นพืชทนแล้งที่สามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีลักษณะพื้นดินและสภาพอากาศใกล้เคียงกันกับไทย ส่งผลให้ในระยะที่ผ่านมาผู้ประกอบการจีนเริ่มหันไปตั้งโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังเองในประเทศกลุ่ม CLMV มากขึ้น สะท้อนผ่านปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังในช่วงปี 2565-2567 โดยเฉพาะในลาวและกัมพูชาจากเดิมมีสัดส่วนรวมกันกว่า 58% เพิ่มขึ้นเป็น 71% ของปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังของไทย สร้างแรงกดดันให้อุปสงค์ที่เคยมีไว้เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าปลายน้ำปรับตัวลดลง และส่งผลกระทบให้ราคาหัวมันสดมีทิศทางหดตัวลงต่อเนื่อง

ดังนั้น บนสถานการณ์ที่ถูกรุมเร้าจากปัญหาอุปทานส่วนเกินในปี 2568 กดดันราคาสินค้าให้ตกต่ำ และด้วยสถานการณ์ที่ไทยยังได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้ำฝนที่ดีในปีนี้ย่อมส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีทิศทางเพิ่มขึ้น เป็นการซ้ำเติมภาวะอุปทานส่วนเกินที่กดดันให้ราคายังทรงตัวต่ำตลอดปี ส่งผลให้รายได้เกษตรกรคาดว่าจะปรับลดลงถึง 16% รวมถึงมุมมองในปี 2569 ยังคาดว่าชะลอตัวต่อเนื่องจากความน่าจะเป็นที่มีโอกาสจะเกิดปรากฏการณ์ลานีญาลากยาวถึงช่วงกลางปี 2569 ขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) ที่จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรบนเงื่อนไขที่แนวโน้มการระบายอุปทานส่วนเกินผ่านการส่งออกยังมองไม่เห็นสัญญาณบวกผ่านตลาดใหม่ที่ยังไม่มีความชัดเจน รวมถึงผลผลิตเกษตรที่ไม่ใช่สินค้าบริโภคทางตรง เช่น ยางพารา ที่ยังเผชิญกับความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในส่วนของอ้อยถูกปรับราคารับซื้อลงตามทิศทางราคาน้ำตาลโลกที่มีแนวโน้มลดลงจากผลผลิตน้ำตาลของบราซิลเริ่มฟื้นตัว ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ ttb analytics เชื่อว่า รายได้เกษตร 5 พืชหลักยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องถึงปี 2569

ด้วยเหตุนี้ ttb analytics จึงมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐเร่งจัดการปัญหาอุปทานที่เกิดขึ้น โดยแบ่งออกเป็นทั้งการจัดการปัญหาด้านฝั่งอุปสงค์ที่ต้องพยายามช่วยหาช่องทางระบายผลผลิตส่วนเกินไปยังตลาดโลกในพื้นที่ใหม่ ส่งเสริมความรู้ในการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีความหลากหลาย รวมถึงจัดการปัญหาด้านฝั่งอุปทานโดยปรับนโยบายให้มีความรัดกุม สนับสนุนการจัดการห่วงโซ่อุปทานในประเทศ เช่น การใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในอุตสาหกรรมแปรรูป และจำเป็นต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผ่านการส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Smart Farming และการปรับปรุงกลไกสนับสนุนหรือพยุงราคาที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทยในระยะยาว

ที่มา: ChomPR