การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกจัดเก็บอยู่ที่ไหนก็ตาม กลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่องค์กรไทยต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรง และไม่คาดคิด การจัดการข้อมูลอย่างชาญฉลาดจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ

แล้วองค์กรจะเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อได้อย่างไร? ก่อนอื่นเลย องค์กรควรถามตัวเองก่อนว่า “เมื่อคิดถึงระบบการจัดเก็บข้อมูล (data storage) ขององค์กรแล้ว คุณแน่ใจหรือไม่ว่ากำลังคิดและทำมันอย่างชาญฉลาดเพียงพอแล้ว?” เพราะการจัดเก็บข้อมูลไม่ได้หมายถึงเพียงการเก็บรักษา แต่คือรากฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทรงพลังที่สุดอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) การที่องค์กรสามารถควบคุม “ชั้นข้อมูล” ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงการเปิดประตูสู่ข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกธุรกิจปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยความฉลาดเชิงดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม มีองค์กรอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการจัดเก็บข้อมูลที่กระจัดกระจายไปตามระบบต่าง ๆ สภาพแวดล้อม และภูมิภาคที่แตกต่างกัน การกระจายตัวของข้อมูลที่เรียกว่า Data Sprawl นี้สร้างปัญหาหลายประการ ตั้งแต่ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ไปจนถึงความยุ่งยากในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและการกำกับดูแล กล่าวโดยสรุปก็คือ การขาดการควบคุมและการมองเห็นข้อมูลแบบรวมศูนย์นั้นจะทำให้การจัดการ ปกป้อง และใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
อนาคตที่มุ่งสู่ยุค ‘Cloud-First’ กำลังเริ่มเป็นรูปธรรม
ประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงดิจิทัลครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง รายงานของ Statista คาดการณ์ว่า ตลาดคลาวด์สาธารณะในไทยจะเติบโตด้วยอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 18.6% ในช่วงปี 2025–2029 และจะมีมูลค่าตลาดราว 4.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2029 สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่รวดเร็วของไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค
การเพิ่มขึ้นของการลงทุนเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้นต่อศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับธุรกิจในทุกภาคส่วน ด้วยเหตุนี้ องค์กรไทยในปัจจุบันจึงมีทางเลือกมากขึ้นในการเร่งกระบวนการสู่ระบบคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ และเพิ่มความคล่องตัวของธุรกิจ พร้อมทั้งยังรักษาอธิปไตยด้านข้อมูลและลดความล่าช้าของระบบสำหรับแอปพลิเคชันที่สำคัญไปด้วยในเวลาเดียวกัน
สิ่งสำคัญที่เราต้องตระหนักไว้เสมอซี่งไม่ได้หมายถึงเพียงการที่องค์กรย้ายข้อมูลไปยังสภาพแวดล้อมคลาวด์ใหม่ ๆเท่านั้น แต่สิ่งที่จะเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จที่แท้จริงคือการที่องค์กรปรับปรุงวิธีการจัดการข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าระบบไฮบริดคลาวด์ในเรื่องการปรับต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่น บริษัท Cloud HM เลือกที่จะใช้โซลูชันจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ของ NetApp ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลูกค้าลดต้นทุน แต่ยังช่วยให้สามารถนำผลิตภัณฑ์สู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างสูงสุดอีกด้วย
เส้นทางสู่การปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล
การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลไม่ได้หมายถึงเพียงการอัปเกรดฮาร์ดแวร์หรือย้ายระบบไปยังคลาวด์เท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่การสร้างสถาปัตยกรรมข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้
- ย้ายปริมาณงานข้ามไปยังสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านประสิทธิภาพ ความสอดคล้องตามมาตรฐาน และข้อกำหนดในเรื่องต้นทุน
- รักษานโยบายการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกันในทุกระบบ ทั้งในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์
- ใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ขั้นสูงและความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากข้อมูลทั้งหมดขององค์กร ไม่ว่าจะจัดเก็บอยู่ที่ใดก็ตาม
- ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน พร้อมยกระดับการกำกับดูแลข้อมูลและความปลอดภัย
- บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับองค์กรไทยที่กำลังก้าวสู่การริเริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยจะยิ่งกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งขึ้น โดยงานด้าน AI นั้นต้องการโซลูชันการจัดการข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงที่สามารถขยับขยายได้ตามความต้องการ ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และสามารถรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลตลอดวงจรชีวิตของการพัฒนานี้ได้
การสร้างรากฐานดิจิทัลที่พร้อมรับมือกับโลกแห่งอนาคต
ในท้ายที่สุดแล้ว องค์กรที่จะได้เปรียบทางการแข่งขันมากที่สุด คือองค์กรที่รับมือกับศักยภาพใหม่ ๆ เหล่านี้ด้วยวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนต่อข้อมูลของตน สถาปัตยกรรมข้อมูลแบบรวมศูนย์ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถรักษาความยืดหยุ่น พร้อมกับใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพและอธิปไตยของข้อมูลในภูมิภาคคลาวด์ภายในประเทศได้อย่างเต็มที่
การมีเครื่องมือการจัดการข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นจะทำให้องค์กรสามารถนำระบบอัตโนมัติอัจฉริยะมาปรับใช้เพื่อทำให้งานปฏิบัติการนั้นง่ายดายมากยิ่งขึ้น ช่วยปรับปรุงระบบการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมองเห็นภาพรวมของระบบไฮบริดได้อย่างชัดเจน โดยความสามารถเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้องค์กรดำเนินระบบงานที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างราบรื่น แต่ยังสร้างความคล่องตัวที่จำเป็นต่อการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย
ในขณะที่ศักยภาพด้านคลาวด์ของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการลงทุนของผู้นำเทคโนโลยีในระดับโลก เวลานี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่องค์กรต่าง ๆ จะสร้างรากฐานข้อมูลสมัยใหม่ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต โดยการนำแนวทางการจัดการข้อมูลแบบองค์รวมมาประยุกต์ใช้ในทุกสภาพแวดล้อม จะทำให้ธุรกิจไทยนั้นสามารถก้าวสู่จุดสูงสุดของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน